โรคตับแข็ง (Cirrhosis) : อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคตับแข็ง (Cirrhosis) : อาการ สาเหตุ การรักษา

28.10
1118
0

โรคตับแข็ง (Cirrhosis) คือภาวะที่เนื้อเยื่อแผลเป็น (Scar Tissue) มาแทนที่เนื้อตับที่มีลักษณะปกติอย่างช้าๆ

Cirrhosis

อาการโรคตับแข็ง

มักจะไม่พบอาการในระยะเริ่มแรกของผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง

แต่อย่างไรก็ตามการที่มีเนื้อแผลเป็นมาสะสม ทำให้ตับทำหน้าที่ได้ลดลง จึงเกิดอาการและอาการแสดงดังนี้ : 

  • มองเห็นหลอดเลือดฝอยบริเวณผิวหนังในส่วนของท้องช่วงบน
  • อ่อนเพลีย
  • นอนไม่หลับ
  • คันบริเวณผิวหนัง
  • รู้สึกไม่อยากอาหาร
  • น้ำหนักลด
  • คลื่นไส้
  • เจ็บตรงบริเวณที่เป็นตำแหน่งของตับ หรืออาจจะกดแล้วนุ่ม
  • ผ่ามือแดงหรือมีลักษณะเป็นตุ่มแดงขึ้น
  • อ่อนแรง

ในผู้ที่มีการดำเนินไปของโรคตับแข็งแล้ว อาจจะมีอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้ : 

  • อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ
  • บุคคลเปลี่ยนไป
  • เลือดออกบริเวณเหงือก
  • มวลของร่างกายและบริเวณแขนส่วนบนลดลง
  • มีปัญหาในการเลิกใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์
  • สับสน
  • มึนงง 
  • บวมบริเวณข้อเท้า เท้า และขา หรือที่เรียกว่าภาวะ บวมน้ำ
  • ผมร่วง
  • เป็นแผลฟกช้ำได้ง่าย
  • มีอาการดีซ่านตัวเหลือง ผิวหนัง ตาขาว และลิ้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตาขาว 
  • ไม่มีอารมณ์ทางเพศ
  • มีปัญหาด้านความจำ
  • มักมีไข้บ่อยครั้งและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • มีอาการตะคริวเกิดขึ้นที่กล้ามเนื้อ
  • เลือดกำเดาไหล
  • เจ็บบริเวณไหล่ขวา
  • หายใจลำบาก
  • อุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย หรือบางครั้งมีสีซีดมาก
  • ฉี่มีสีเข้ม
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการเดิน

เนื้อเยื่อตับซึ่งถูกแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อพังผืด (fibrous scar tissue) จะกลายไปเป็น nodules มีลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำ เกิดเป็นก้อนซึ่งเป็นผลมาจากการพยายามสมานแผลจากการเสียหายของเนื้อเยื่อตับดังกล่าว

การรักษาโรคตับแข็ง

การได้รับการวนิจฉัยว่าเป็นโรคตับแข็งในระยะเริ่มแรก จะสามารถลดความเสียหายที่เกิดกับตับลงได้ โดยการรักษาจะรักษาตามสาเหตุหรือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดแตกต่างกันในแต่ละราย 

การรักษาในผู้ป่วยที่ติดเหล้า สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยจะต้องหยุดดื่มแอลกอฮอล์ถ้าหากป่วยเป็นโรคตับแข็งในระยะยาวแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเป็นประจำโดยส่วนมากแล้วแพทย์มักจะแนะนำแนวทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคติดสุรา

การรักษาโดยการใช้ยา : ผู้ป่วยอาจจะได้รับยาเพื่อควบคุมการทำลายขอบเซลล์ตับซึ่งเป็นสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบ B หรือ C 

การควบคุมแรงดันในหลอดเลือดดำ portal vein โดยเลือดสามารถไหลย้อนกลับไปยังหลอดเลือด portal vein ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เป็นสาเหตุทำให้แรงดันในหลอดเลือด portal vein สูงผิดปกติ ดังนั้นการให้ยาเพื่อควบคุมไม่ให้แรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดเลือดออก (bleeding) ที่รุนแรงได้ โดยภาวะที่มีเลือดออกในร่างกายนั้นสามารถตรวจพบได้จากการส่องกล้อง (endoscopy) 

หากผู้ป่วยมีการอาเจียนเป็นเลือดหรือมีอุจจาระเป็นเลือดอาจจะมีภาวะหลอดเลือดโป่งพองในส่วนของทางเดินอาหารซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน โดยอาจมีวิธีในการรักษาดังนี้ :

การรัดหลอดเลือด : การใช้ยางขนาดเล็กรัดรอบๆหลอดเลือดที่มีการโป่งพองเพื่อยับยั้งการเกิดเลือดออก

การฉีดยาเข้าไปเพื่อให้หลอดเลือดตีบตับ หลังจากที่มีการส่องกล้องเข้าไปแล้วจะฉีดสารบางชนิดไปยังหลอดเลือดที่มีการโป่งพอง โดยสารดังกล่าวจะไปกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดและเนื้อเยื่อแผลเป็นซึ่งช่วยยับยั้งการเกิดเลือดออกได้

การใส่บอลลูนห้ามเลือด (Sengstaken-Blakemore tube) : หากผู้ป่วยทำการส่องกล้องแล้วพบว่าเลือดยังไม่หยุดไหล จะมีการใส่ท่อเข้าไปในบริเวณคอของผู้ป่วยลงไปยังกระเพาะ โดยบริเวณปลายของท่อจะมีบอลลูนใส่เข้าไป เมื่อบอลลูนกางออกจะไปกดบริเวณที่มีหลอดเลือดโป่งพองและสามารถทำให้เลือดหยุดไหลได้

การขยายหลอดเลือดดำที่ตับผ่านทางหลอดเลือดดำที่ต้นคอ (TIPSS) หากการรักษาที่กล่าวไปแล้วข้างต้นยังไม่สามารถทำให้เลือดหยุดไหลได้ จะใช้วิธีการทำ TIPSS ในการรักษาโดยใช้ท่อโลหะแทงผ่านตับทะลุเข้าบริเวณที่เชื่อมระหว่างหลอดเลือด portal veins และ hepatic veins โดยเป็นการสร้างเส้นทางใหม่เพื่อให้เลือดไหลผ่านซึ่งวิธีนี้จะสามารถลดแรงดันจากหลอดเลือดที่โป่งพองได้

ระยะของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งจะแบ่งตามระยะได้ตามระดับคะแนน Childs-Pugh ดังนี้

  • A: ระดับอาการไม่รุนแรง
  • B: ระดับปานกลาง
  • C: ระดับรุนแรง

แพทย์อาจจะจำแนกระยะของโรคตับแข็งได้เป็นระยะ compensated และระยะ decompensated โดยโรคตับแข็งในระยะ compensated นี้หมายถึงตับที่เสียหายจะยังสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ในระยะ decompensated นั้นตับที่เสียหายแล้วจะไม่สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติซึ่งในระยะนี้มักเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการที่รุนแรงได้

หากจะมองในแง่การดำเนินไปของโรค ภาวะตับแข็งมักจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคตับที่มีการดำเนินไปของโรคในระยะท้ายๆแล้ว 

สาเหตุของโรคตับแข็ง

โรคตับแข็งมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นประจำ

สาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคตับแข็ง คือ

  • การดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นระยะเวลานาน
  • ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B และ C 
  • โรคไขมันพอกตับ
  • พิษจากโลหะหนัก
  • โรคทางพันธุกรรม

ไวรัสตับอักเสบ B และ C ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดภาวะตับแข็ง และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ ดังนี้ : 

การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปเป็นประจำ

สารพิษรวมไปถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มีผลไปทำลายตับ นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์เป็นปริมาณมากจะทำให้ตับทำงานมากเกินปกติซึ่งเป็นผลทำให้เซลล์ตับถูกทำลายในที่สุด

ผู้ที่ดื่มหนักเป็นประจำมักจะทำให้เป็นโรคตับแข็งเมื่อเทียบกับผู้ที่มีสุขภาพดี โดยทั่วไปผู้ที่ดื่มเหล้าหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปีจะมีภาวะตับแข็งในที่สุด

โรคตับจากแอลกอฮอล์โดยทั่วไปแล้วแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ :

  1. ไขมันพอกตับ : เริ่มมีการสะสมของไขมันบริเวณตับ
  2. ภาวะตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ : มีการบวมของเซลล์ตับเกิดขึ้น
  3. .ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักประมาณ 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์จะกลายเป็นโรคตับแข็งในภายหลัง

ตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบชนิด C เป็นโรคติดเชื้อที่ติดต่อผ่านทางเลือด โดยมีผลทำลายตับจนในที่สุดทำให้เกิดโรคตับแข็งได้ ไวรัสตับอักเสบ C เป็นสาเหตุโดยทั่วไปที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งในยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ และหลายๆภูมิภาคทั่วโลก นอกจากนี้โรคตับแข็งยังสามารถเกิดจากไวรัสตับอักเสบ B และ D ได้ด้วย

ภาวะที่มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับโดยที่ไม่ได้ดื่มสุรา

ภาวะที่มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับโดยที่คนๆนั้นไม่ได้ดื่มสุรา ในระยะเริ่มต้นไขมันที่สะสมนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบและเกิดแผลเป็นจนในที่สุดก็จะทำให้เกิดภาวะตับแข็งตามมา

ภาวะ NASH มักเกิดในผู้ที่มีภาวะอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีไขมันปริมาณมากในเลือด และผู้ที่มีความดันเลือดสูง

ภาวะตับอักเสบจากภูมิไวเกิน

ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโรคนี้ไปต่อสู้กับอวัยวะปกติเนื่องจากคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย โดยในบางครั้งเกิดการทำลายที่ตับทำให้ผู้ป่วยเกิดเป็นโรคตับแข็งในที่สุด

โรคทางพันธุกรรม

ภาวะบางอย่างซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากพันธุกรรมและทำให้เกิดภาวะตับแข็งได้ มีดังนี้

  • ภาวะเหล็กเกิน : การที่มีธาตุเหล็กสะสมอยู่ในตับและส่วนต่างๆตามร่างกาย
  • โรควิลสัน (Wilson’s disease) : การที่มีสารทองแดงสะสมอยู่ในตับและส่วนต่างๆตามร่างกาย

การอุดตันของท่อน้ำดี

ในบางสภาวะหรือโรค เช่น มะเร็งท่อน้ำดีหรือมะเร็งตับอ่อน ที่ทำให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดีได้ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคตับแข็ง 

อาการของโรค Budd-Chiari syndrome

เป็นภาวะที่เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด hepatic vein ซึ่งเดิมเป็นหลอดเลือดที่ทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยงที่ตับ โดยภาวะนี้จะทำให้ตับมีขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดเป็นหลอดเลือดเส้นทางใหม่ขึ้น 

โรคหรือสภาวะอื่นๆที่เป็นนำไปสู่การเกิดโรคตับแข็งได้ มีดังนี้

  • โรคซิสติกไฟโบรซิส (cystic fibrosis)
  • โรคท่อน้ำดีอักเสบแข็งขั้นปฐมภูมิ (Primary Sclerosing Cholangitis) หรือภาวะที่ท่อน้ำดีเกิดการแข็งตัวและมีรอยแผลเป็นเกิดขึ้น
  • ภาวะกาแลคโตซีเมีย (galactosemia) หรือภาวะที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลที่อยู่ในนมได้
  • พยาธิใบไม้ในเลือดซึ่งเป็นปริสิตที่พบได้ทั่วไปในบางประเทศที่กำลังพัฒนา
  • โรคทางเดินน้ำดีตีบตัน หรือการสร้างท่อน้ำดีที่ผิดรูปในทารกแรกเกิด
  • โรคที่เกิดจากความผิดปกติในการสลายไกลโคเจน (glycogen storage disease) หรือภาวะที่มีความผิดปกติในการกักเก็บและการสลายพลังงานที่สำคัญซึ่งใช้ในการทำหน้าที่ของเซลล์

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *