ปัสสาวะขัด (Dysuria) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ปัสสาวะขัด (Dysuria) : อาการ สาเหตุ การรักษา

02.02
4240
0

อาการปัสสาวะขัด (Dysuria) คือ อาการที่มีความเจ็บปวดระหว่างการปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด โดยสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ และสามารถรักษาได้หายขาดได้ ผู้มีภาวะปัสสาวะขัดควรแจ้งให้แพทย์ทราบอาการอื่น ๆ ที่มีร่วมด้วย ซึ่งหากสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัสสาวะขัดก็สามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง และแนะนำการรักษาที่เหมาะสมได้

สาเหตุของปัสสาวะขัด 

ภาวะต่างๆ มากมายที่เป็นสาเหตุให้เจ็บปวดเมื่อปัสสาวะได้ ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถรักษาได้

สาเหตุที่เป็นไปได้ 10 อย่างดังต่อไปนี้ที่อาจเกิดควบคู่กับปัสสาวะขัด

การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ  (Urinary tract infection :UTI )

เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียจากภายนอกเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ และออกไปสู่ทางเดินปัสสาวะ  โดยร่างกายจะมีการทำงานของไตร่วมกับกระเพาะปัสสาวะ โดยการนำปัสสาวะออกจากร่างกาย

ผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น

  • ปัสสาวะขัดแสบ
  • ปัสสาวะขุ่น (Turbid Urine)  หรือมีเลือดปน
  • มีไข้
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
  • ปวดเอว 

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ 

การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์  เช่น โรคหนองในเทียม  โรคหนองในแท้  และเริม ล้วนส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ และนำไปสู่อาการแสบขัด เมื่อถ่ายปัสสาวะ

อาจพบอาการแตกต่างกันไปตามประเภทของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น โรคเริมมักทำให้เกิดแผลคล้ายตุ่มที่อวัยวะเพศ

การติดเชื้อต่อมลูกหมาก 

การติดเชื้อแบคทีเรียในระยะสั้นสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อต่อมลูกหมาก หรือต่อมลูกหมากอักเสบ(Prostatitis) การอักเสบเรื้อรัง (Inflammation) จากภาวะอื่น เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจทำให้เกิดต่อมลูกหมากอักเสบได้เช่นกัน

อาการเพิ่มเติมได้แก่

  • ปัสสาวะลำบาก
  • ปวดในกระเพาะปัสสาวะอัณฑะและอวัยวะเพศ
  • หลั่งยาก และมีความเจ็บปวดเวลาหลั่ง
  • ปวดปัสสาวะบ่อยๆ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน

นิ่วในไต 

นิ่วในไต  เกิดจากการสะสมแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม (  calcium) หรือกรดยูริก จะสร้างก้อนหินแข็งๆ ขึ้นในไต หรือรอบๆ ไต

บางครั้งนิ่วในไตจะอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่น้ำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดเวลาขับถ่ายปัสสาวะได้เช่นกัน

อาการเพิ่มเติม ได้แก่

  • ปวดหลัง และเอว
  • ปัสสาวะมีสีชมพู หรือสีน้ำตาล (สีน้ำล้างเนื้อ)
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
  • คลื่นไส้ อาเจียน 
  • ปวดท้อง และคลื่นไส้อย่างรุนแรง
  • มีไข้
  • หนาวสั่น
  • ถ่ายปัสสาวะน้อย แต่บ่อยครั้ง

ซีสต์ในรังไข่ 

ซีสต์ในรังไข่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่อยู่นอกกระเพาะปัสสาวะที่ไปกดทับอยู่บนกระเพาะปัสสาวะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ็บปวด เมื่อปัสสาวะ เช่นเดียวกับผลที่เกิดจากนิ่วในไต

ซีสต์ในรังไข่สามารถเกิดขึ้นที่รังไข่ซึ่งอยู่ด้านใดด้านหนึ่งของกระเพาะปัสสาวะ โดยสามารถเกิดที่รังไข่ข้างเดียว หรือทั้ง 2 ข้างก็ได้

อาการเพิ่มเติม ได้แก่

  • มีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ
  • ปวดกระดูกเชิงกราน
  • ปัสสาวะไม่สุด
  • ปวดประจำเดือน
  • เจ็บตึงที่เต้านม (เต้านมคัด)
  • ปวดหลังส่วนล่าง

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง แบบไม่ติดเชื้อ 

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังแบบไม่ติดเชื้อ เป็นภาวะที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะเรื้อรังเป็นเวลา 6 สัปดาห์ขึ้นไป โดยไม่มีการติดเชื้อ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังแบบไม่ติดเชื้อ อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

  • มีแรงดันในกระเพาะปัสสาวะ
  • เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธุ์
  • เจ็บปวดในช่องคลอด
  • เจ็บปวดในถุงอัณฑะ
  • ปัสสาวน้อย แต่บ่อย

ผลิตภัณฑ์ที่สามารถก่อให้เกิดความไวต่อสารเคมี ได้แก่

  • น้ำยาสวนล้างช่องคลอด
  • สบู่
  • กระดาษชำระที่มีกลิ่นหอม
  • สารหล่อลื่นในช่องคลอด
  • ห่วงคุมกำเนิด

ผู้แพ้ผลิตภัณฑ์เคมีอาจสังเกตเห็น

  • บวม
  • รอยแดง
  • คัน
  • ระคายเคืองผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ

การระคายเคืองหรือติดเชื้อในช่องคลอด

ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) หรือช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Vaginosis) การติดเชื้อในช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้เนื่องการเจริญเติบโตมากเกินไปของแบคทีเรีย หรือยีสต์

อาการเพิ่มเติมได้แก่

  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น หรือตกขาวผิดปกติ
  • ระคายเคืองช่องคลอด
  • เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • มีเลือดออกจากช่องคลอดเล็กน้อย

การได้รับยาบางชนิด 

ยาบางชนิดรวมถึงยารักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาจทำให้ระคายเคือง และทำให้เนื้อเยื่อกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ ซึ่งจะทำให้ปัสสาวะขัดได้

ในผู้ที่เริ่มใช้ยาใหม่ และเริ่มรู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะควรปรึกษาแพทย์ และถามว่าอาจเป็นอาการข้างเคียงที่มีผลมาจากยาหรือไม่ ไม่ควรตัดสินใจหยุดกินยาด้วยตนเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน

อาการแตกต่างกันไปตามยาที่ได้รับ

Dysuria

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

สำหรับปัสสาวะขัดจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยมักจะสังเกตเห็นเลือดในน้ำปัสสาวะ

อาการอื่นๆ ของมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ได้แก่

  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะกะปริดกะปรอย
  • ปวดหลังช่วงล่าง
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลด
  • อ่อนเพลีย
  • เท้าบวม
  • ปวดกระดูก

ความแตกต่างอาการปัสสาวะขัดในเพศชายและเพศหญิง

ปัสสาวะขัดเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง และมีสาเหตุขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายวิภาค ตัวอย่างเช่นเพศหญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่าเพศชาย มีผลทำให้ให้แบคทีเรียมักจะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้นซึ่งอาจนำไปสู่โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

ทางเลือกของการรักษาที่เป็นไปได้

ทางเลือกในการรักษาอาการปวดปัสสาวะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่หลัก ได้แก่

  • การรักษาโรคติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ด้วยยาปฏิชีวนะ  หากมีอาการของโรครุนแรง และมีผลต่อไตอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ
  • การรักษาต่อมลูกหมากอักเสบด้วยยาปฏิชีวนะ หากมีต่อมลูกหมากอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเรื้อรังอาจใช้เวลานานถึง 12 สัปดาห์  การรักษาต่อมลูกหมากอักเสบด้วยวิธีอื่นๆ ที่เป็นไปได้ ได้แก่ ยาแก้การอักเสบที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป (OTC) การนวดต่อมลูกหมาก การอาบน้ำร้อน และยาที่เรียกว่า alpha-blockers ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อรอบต่อมลูกหมากคลายตัว
  • หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่เป็นกรด หรือด่างรุนแรง หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีอื่นๆ ใกล้กับอวัยวะเพศ เนื่องจากอาจนำไปสู่การระคายเคืองได้ อาการของผู้ป่วยมักจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อการระคายเคืองนั้นมีสาเหตุจากสารเคมี

การดูแลรักษาอาการปัสสาวะขัดที่บ้านมักรวมถึงการใช้ยาแก้อักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้ายขายยาทั่วไป

แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อทำให้ปัสสาวะเจือจางลงซึ่งจะส่งผลทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง การพักผ่อน และรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยบรรเทาอาการส่วนใหญ่ได้

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *