ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Bleeding) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Bleeding) : อาการ สาเหตุ การรักษา

02.05
3216
0

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Bleeding :GI) คืออาการของระบบทางเดินอาหารที่ผิดปกติ สามารถตรวจพบเลือดได้ในอุจจาระ หรืออาเจียน แต่บางครั้งอาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่อาจเห็นว่าอุจจาระมีสีดำ หรือดูเหมือนน้ำมันดินแทน ปริมาณเลือดที่ออกมาในระบบทางเดินอาหารอาจมีเพียงเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ต้องใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบด้วยภาพถ่ายภายในร่างการที่ซับซ้อน จึงจะสามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เลือดออกได้ ช่วยให้สามารถรักษาอาการที่สาเหตุได้อย่างตรงจุด

สาเหตุของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร

  • ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร
  • ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร และมีช่วงที่แตกออกช่วงใดช่วงหนึ่งไปจนถึงทวารหนัก
  • ริดสีดวงทวารมีบาดแผล

ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหารสามารถเกิดขึ้นได้ในระบบทางเดินอาหารส่วนบนหรือส่วนล่าง โดยมีสาเหตุต่าง ๆ กัน ดังนี้

ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหารส่วนบน

สาเหตุ ได้แก่:

  • แผลในกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด แผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน  ถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายเนื้อเยื่อบุกระเพาะอาหารจนเกิดบาดแผล ซึ่งเกิดในภาวะการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านการอักเสบ
  • เยื่อบุของทางเดินอาหารที่เชื่อมตั้งแต่คอไปจนกระเพาะอาหาร (หลอดอาหาร) ฉีดขาดเรียกว่าภาวะเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนต้น อาจทำให้เลือดออกมามาก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • หลอดเลือดดำในหลอดอาหารขยายตัวผิดปกติ (ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร) เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคตับชนิดร้ายแรง
  • หลอดอาหารอักเสบ เป็นอาการอักเสบที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน  

ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหารส่วนล่าง

สาเหตุ ได้แก่:

  • โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ เป็นโรคเกี่ยวกับถุงขนาดเล็กที่โป่งขึ้นในระบบทางเดินอาหาร และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  (ถุงผนังลำไส้) หากถุงเกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อจะเรียกว่าโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
  • โรคลำไส้อักเสบ (IBD) เป็นอาการที่ลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผล เกิดจากการอักเสบและเป็นแผลในลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักโรคโครห์น และการอักเสบของเยื่อบุทางเดินอาหาร
  • เนื้องอก เนื้องอกที่ไม่เป็นมะเร็ง (ไม่เป็นอันตราย) หรือมะเร็งบริเวณหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ หรือทวารหนักซึ่งจะทำให้เยื่อบุทางเดินอาหารอ่อนแอลง และมีเลือดออกได้
  • ติ่งเนื้อบริเวณลำไส้ใหญ่ เป็นกลุ่มเซลล์ขนาดเล็กที่ก่อตัวบริเวณเยื่อบุลำไส้ใหญ่อาจทำให้เลือดออกได้ ส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่เป็นอันตราย แต่บางครั้งอาจลุกลามเป็นมะเร็งได้หากไม่รีบรักษา
  • โรคริดสีดวงทวาร เส้นเลือดบริเวณทวารหนักบวม คล้ายกับอาการของเส้นเลือดขอด
  • รอยแยกทางทวารหนักฉีกขาด เกิดรอยแผลบริเวณเยื่อบุทวารหนัก
  • ทวารหนักอักเสบ การอักเสบของเยื่อบุทวารหนักจะทำให้เลือดออกทางทวารหนัก

Gastrointestinal Bleeding

อาการของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร

สัญญาณและอาการของภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารอาจสังเกตได้ชัดเจน (เปิดเผย) หรือซ่อนเร้นก็ได้ (ไม่สามารถสังเกตได้) โดยสัญญาณและอาการของภาวะนี้ขึ้นกับตำแหน่งที่เลือดไหลออก อาจเป็นตำแหน่งใดก็ได้ในระบบทางเดินอาหารเริ่มตั้งแต่ปากไปจนถึงทวารหนัก และยังขึ้นกับปริมาณของเลือดที่ออกด้วย

หากปริมาณเลือดออกมามากจะเกิดอาการดังนี้ :

  • อาเจียนเป็นเลือด โดยพบของเหลวสีแดงหรือสีน้ำตาลเข้มในอาเจียน และอาจเป็นอาเจียนที่มีลักษณะคล้ายกับกากกาแฟ
  • อุจจาระเป็นสีดำ
  • เลือดออกทางทวารหนัก มักพบในออุจจาระ
  • เลือดออกในกระเพาะอาหาร

ผู้ป่วยยังอาจมีอาการร่วม ได้แก่:

หากเกิดเลือดออกอย่างกะทันหันและรวดเร็ว ผู้ป่วยอาจช็อกได้ โดยสัญญาณและอาการช็อกนั้นมีดังนี้ :

  • ความดันโลหิตลดลง
  • ปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะบ่อยแต่ปริมาณน้อยมาก
  • ชีพจรเต้นเร็ว
  • หมดสติ

หากผู้ป่วยเกิดอาการช็อกให้รีบพาไปพบแพทย์ หรือหากอาเจียนเป็นเลือด หรือพบเลือดในอุจจาระ หรืออุจจาระมีสีดำก็ควรรีบไปพบแพทย์ หากสงสัยว่าตนเองเกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารให้รีบพบแพทย์

ภาวะแทรกซ้อนของเลือดออกในทางเดินอาหาร

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารอาจทำให้เกิด:

การรักษาภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารมีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามสาเหตุของอาการ ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นการตรวจด้วยกล้องส่องในระบบทางเดินอาหาร แพทย์อาจฉีดยา ใช้กระแสไฟฟ้าหรือเลเซอร์ หรือคลิปหนีบบริเวณที่เกิดอาการเพื่อหยุดการไหลของเลือด 

ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารบางครั้งก็หายได้เองจากการรักษาแบบประคองอาการ วิธีการรักษาขึ้นกับตำแหน่งที่เลือดออก อย่างกรณีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน ใช้การรักษาด้วยยากลุ่ม Proton pump inhibitors: PPIs เพื่อลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร

แพทย์อาจให้เลือดหรือน้ำเกลือให้ผู้ป่วย เพื่อทดแทนเลือดที่เสียไป กรณีผู้ป่วยใช้ยาต้านเกล็ดเลือดต้องหยุดใช้ยาดังกล่าวระหว่างทำการรักษาด้วย

การป้องกันภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร

  • ควบคุมการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่อยู่ในประเภทสเตียรอยด์
  • ควบคุมการใช้แอลกอฮอล์
  • งดสูบบุหรี่

หากมีอาการของโรคกรดไหลย้อนให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *