ไข้เหลือง (Yellow fever) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ไข้เหลือง (Yellow fever) : อาการ สาเหตุ การรักษา

22.02
2219
0

โรคไข้เหลือง (Yellow fever) เป็นภาวะเลือดออกที่ทำให้มีไข้สูง เลือดจะออกที่ผิวหนังและเซลล์ในตับและไตถูกทำลาย เมื่อเซลล์ถูกทำลายจะนำไปสู่โรคดีซ่านซึ่งเป็นภาวะที่ผิวหนังมีสีเหลือง

ไข้เหลืองเป็นโรคแบบเฉียบพลัน หมายความจะเกิดอาการอย่างกะทันหันและมีผลต่อร่างกายทั้งหมด ไวรัส Flavivirus คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดไข้เหลือง โดยไวรัสจะมียุงสายพันธุ์ Aedes และ Haemogogus เป็นพาหะ

สาเหตุของไข้เหลือง

ไวรัส Flavivirus คือต้นเหตุของไข้เหลือง มียุงลายเป็นพาหะ นำเชื้อเข้ามนุษย์ด้วยการกัด โดยยุงที่มีเชื้อสามารถแพร่เชื้อโรคไปยังคนหรือลิงได้ตลอดอายุขัยของยุง

เชื่อกันว่าไวรัส Flavivirus เป็นไวรัสที่พบในลิงที่อาศัยอยู่ตามยอดไม้ของป่าในทวีปแอฟริกาและอเมริกาอยู่แล้ว โดยมียุงเป็นพาหะ นำเชื้อไวรัสจากลิงมายังมนุษย์ ผู้ที่ติดเชื้อก็จะกลายเป็นพาหะทำให้เชื้อแพร่ไปยังผู้อื่นได้

การเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อไวรัสไข้เหลืองจึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ซึ่งก็คือพื้นที่บางส่วนของแอฟริกา โดยเฉพาะแอฟริกาตอนใต้ที่มีทะเลทรายซาฮารา เชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ และบางส่วนของทะเลแคริบเบียน

นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังบริเวณดังกล่าว ควรฉีดวัคซีนไข้เหลืองก่อนเดินทาง 10 ถึง 14 วันเพื่อป้องกันการติดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การวินิจฉัยโรคไข้เหลือง

การวินิจฉัยจะต้องได้รับการยืนยันเมื่อแพทย์ตรวจพบสัญญาณ และอาการ ก่อนยืนยันด้วยผลตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยแยกอาหารของโรคติดต่ออื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน ซึ่งได้แก่:

การตรวจเลือดจะทำให้ทราบถึงไวรัส หรือแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย การตรวจเลือดยังรวมถึงการรับปริมาณเม็ดเลือดขาวที่เป็นสัญญาณหนึ่งของการติดเชื้อ การตรวจเลือดเพื่อทดสอบภูมิคุ้มกันจะเชื่อมโยงกับเอนไซม์ (ELISA) และปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (PCR) ผลการทดสอบอาจใช้เวลาหลายวัน

Yellow fever

อาการของไข้เหลือง

คนส่วนมากที่เป็นไข้เหลืองจะไม่แสดงอาการ หรืออาการไม่รุนแรงมาก ไข้เหลืองมีระยะฟักตัวอยู่ระหว่าง 3 ถึง 6 วัน จึงมักใช้เวลา 3 ถึง 6 วันหลังการติดเชื้อจึงจะมีอาการ

โรคนี้ไม่สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คน ต้องมียุงเป็นพาหะนำโรค

อาการหลักของไข้เหลืองคืออุณหภูมิสูง ชีพจรเต้นช้า พบ albuminuria ในปัสสาวะ ดีซ่าน เลือดคั่งที่ใบหน้า ตกเลือด หรือมีเลือดออก

อาการสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ:

ในระยะเริ่มต้น หรือระยะเฉียบพลัน อาจมีอาการ:

อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 7 ถึง 10 วัน

อาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แต่ผู้ป่วยประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์อาจเข้าสู่ระยะที่ 2 หรือระยะที่เป็นพิษ อาการจะรุนแรงขึ้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ซึ่งอาการระยะที่ 2 รวมถึง:

  • เกิดไข้ซ้ำ

  • ปวดท้อง

  • อาเจียน บางครั้งมีเลือดปน

  • ความเหนื่อยล้า ความเฉื่อยชา ความง่วง

  • ดีซ่านทำให้ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง

  • ไตล้มเหลว

  • ตับวาย

  • ตกเลือด

  • เพ้อ ชัก และไม่รู้สึกตัวในบางครั้ง

  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นผิดปกติ

  • เลือดออกจากจมูก ปาก และตา

ประมาณ 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีอาการระยะเป็นพิษจะเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์

ภายใน 7 ถึง 10 วัน ไข้เหลืองในระยะเป็นพิษจะเป็นอันตรายถึงชีวิตของผู้ป่วยประมาณ 50% และกรณีที่สามารถฟื้นตัวได้ ก็มักเกิดความเสียหายที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง และมีปัญหาด้านภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต

การรักษาไข้เหลือง

ไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการรักษาไข้เหลืองโดยตรง การรักษาโดยทั่วไปจึงบรรเทาอาการต่าง ๆ รวมถึงการให้ของเหลว ออกซิเจน การตรวจความดันโลหิตเพื่อตรวจสอบปริมาณเลือดที่เสียไป การล้างไตหากไตวาย และการรักษาการติดเชื้อระยะที่ 2

ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการถ่ายพลาสมาทดแทน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยระบบแข็งตัวของเลือด

ผู้ป่วยควรอยู่ห่างจากยุง หากยุงกัดผู้ป่วยก็จะกลายเป็นพาหะนำโรคไปยังผู้อื่นได้

ไม่ควรใช้แอสไพริน และยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในการรักษาเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะตกเลือด

การป้องกันไข้เหลือง

ในอดีตไข้เหลืองเคยทำให้เกิดการสูญเสียประชากรในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไข้เหลือง

การฉีดวัคซีน

ผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีเชื้อไข้เหลืองควรหาฉีดวัคซีนก่อนเดินทางอย่างน้อย 10 ถึง 14 วัน บางประเทศอาจตรวจใบรับรองการฉีดวัคซีนก่อนอนุญาตให้เข้าประเทศ

การฉีดวัคซีน 1 ครั้ง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ 10 ปี และบางกรณีอาจมีผลไปตลอดชีวิต

อาจมีผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน ได้แก่:

  • ปวดหัว

  • ไข้ต่ำ

  • เจ็บกล้ามเนื้อ

  • เหนื่อยหอบ

  • เจ็บปวดบริเวณที่ฉีดยา

กรณีที่เกิดได้น้อย คือทารกและผู้สูงอายุมีปฏิกิริยาที่รุนแรงจนเป็นโรคไข้สมองอักเสบ เป็นวัคซีนที่มีึวามปลอดภัยสำหรับผู้รับวัคซีนที่มีอายุระหว่าง 9 เดือนถึง 60 ปี

กลุ่มคนต่อไปนี้ไม่ควรได้รับการฉีดวัคซีน:

  • เด็กอายุต่ำกว่า 9 เดือน เว้นแต่จะมีความเสี่ยงของไข้เหลืองสูง

  • สตรีมีครรภ์ เว้นแต่จะมีความเสี่ยงของไข้เหลืองสูง

  • มารดาที่ให้นมบุตร

  • คนที่แพ้ไข่

  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ที่ได้รับเคมีบำบัดและการฉายรังสี เว้นแต่จะมีความเสี่ยงของไข้เหลืองสูง

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณษการฉีดวัคซีน

การป้องกันยุง

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีลดการสัมผัสยุง ดังนี้:

  • หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเช้ามืด พลบค่ำและหัวค่ำซึ่งเป็นช่วงที่ยุงชุกชุมมากที่สุด

  • ปกปิดผิวหนังให้มากที่สุด โดยสวมเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวในบริเวณที่มียุง

  • อยู่ในอาคาร หรือสถานที่ที่ควบคุมอากาศเข้าออก และมีมุ้งลวด

  • ใช้ยากันยุง กรณีตั้งแคมป์เลือดอุปกรณ์ที่มีตาข่ายคลุม

  • กรณีเด็กเล็กควรคลุมรถเข็นเด็กด้วยมุ้งกันยุงเมื่ออยู่กลางแจ้ง

สรุปภาพรวมไข้เหลือง

ไข้เหลืองติดต่อโดยยุง อาจทำให้ผู้ป่วยมีไข้สูง อวัยวะถูกทำลายและมีอันตรายถึงชีวิตได้ ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลแบบประคับประคอง กรณีเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงควรตรวจสอบว่าจำเป็นต้องได้รับวัคซีนก่อนเดินทางหรือไม่ บางประเทศจะไม่อนุญาตให้ผู้เดินทางเข้าโดยไม่มีใบรับรองการฉีดวัคซีน

คนส่วนมากที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการ แต่อาจทำให้รู้สึกอ่อนแรง และเหนื่อยล้าเป็นเวลาหลายเดือน กรณีที่มีอาการรุนแรง จะมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ระหว่าง 20 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *