โรคปากนกกระจอก (Angular cheilitis): อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคปากนกกระจอก (Angular cheilitis): อาการ สาเหตุ การรักษา

19.08
28218
0

โรคปากนกกระจอก (Angular Cheilitis) คือ ภาวะการอักเสบที่มุมปากเกิดเป็นรอยบวมแดงในมุมปากและเป็นแผลหรือเป็นแผลที่มุมปาก ปากแห้งและแตกบริเวณที่ริมฝีปาก

โรคปากนกกระจอกสามารถเกิดได้ที่มุมปากทั้งสองข้างได้ในเวลาเดียวกัน

อาการ

สิ่งสำคัญที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนของการเป็นโรคปากนกกระจอกคือความระคายเคืองรวมไปถึงอาการเจ็บที่มุมปาก มุมหนึ่งหรือทั้งสองมุมอาจมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วยเช่น 

  • มุมปากมีเลือดออก
  • เป็นแผลฉีกขาดหรือพุพอง
  • ปากแห้งแตก
  • คัน
  • เจ็บปวด
  • เป็นสะเก็ด
  • ปูดบวม

ผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนที่บริเวณริมฝีปาก เจ็บปากขณะทานอาหาร หากมีการระคายเคืองรุนแรงอาจทำให้ทานอาหารยาก จนทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรืออาจทำให้น้ำหนักตัวลดได้

สาเหตุ

โรคปากนกกระจอกส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อราที่ผิวหนัง ซึ่งถือเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคนี้คือเชื้อแคนดิดา (Candida) ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็กทารก นอกจากนี้ โรคปากนกกระจอกยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆอีก

  • น้ำลายจากการเลียปาก เนื่องจากน้ำลายจะหมักหมมอยู่บริเวณมุมปาก ทำให้ปากแห้งและแตก เมื่อเลียมุมปากที่แห้ง จะทำให้เชื้อราตรงแผลที่มีอยู่ก่อนแล้วเจริญและแบ่งเซลล์มากขึ้น จนนำไปสู่การติดเชื้อได้ 
  • เกิดการติดเชื้อที่ปาก ผู้ป่วยอาจติดเชื้อต่าง ๆ ที่ปาก โดยเชื้อนั้นได้ลุกลามขึ้น เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราจากโรคเชื้อราในช่องปาก หรือเชื้อไวรัสจากโรคเริมที่ริมฝีปาก
  • ขาดวิตตามินบี2

ใครอยู่ในความเสี่ยง

ผู้ที่มีความเสี่ยงและแนวโน้มที่จะเป็นโรคปากนกกระจอก ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเช่น

  • มีเครื่องมือจัดฟันอยู่ในปาก
  • มีน้ำลายมาก
  • มีผิวหย่อนคล้อยรอบปาก
  • ชอบดูดนิ้วโป้ง
  • ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอหรือขาดวิตามินบี2 หรือธาตุเหล็ก

เงื่อนไขทางสุขภาพบางอย่างที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่น

  • โรคโลหิตจาง
  • โรคมะเร็งของเลือด
  • โรคเบาหวาน
  • ดาวน์ซินโดรม
  • ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเช่น HIV
  • มะเร็งไตตับปอดหรือตับอ่อน

โรคปากนกกระจอกและโรคเบาหวาน

เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่จะมีอาการของโรคปากนกกระจอกร่วมด้วยเนื่องจากการติดเชื้อ (เชื้อราเช่น Candida )จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ร่างกายต้องการใช้น้ำตาลในเลือดเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน หากเป็นโรคเบาหวานก็จะมีกลูโคสในเลือดมากเกินไป ซึ่งการที่มีระดับกลูโคสที่มากเกินไปจะไปกระตุ้นให้เชื้อรา เจริญได้มากขึ้น เช่นกันทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและส่งผลให้เกิดการติดเชื้อเกิดได้ง่ายขึ้น

คุณสามารถป้องกันสภาวะการเป็นโรคปากนกกระจอกได้โดยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด เลือกทานอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายและใช้อินซูลินย่างถูกต้อง สิ่งสำคัญคือไม่ควรสูบบุหรี่

โรคปากนกกระจอก (Angular cheilitis)

การวินิจฉัยโรค

แพทย์จะตรวจสอบปากของคุณอย่างใกล้ชิดเพื่อดูรอยแตก สีแดง บวม หรือแผลพุพอง และซักประวัติอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับนิสัยและชีวิตประจำวันของคุณที่มีผลต่อการวินิจฉัยโรคปากนกกระจอก

แต่ในบางครั้งแพทย์อาจจะต้องเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือรอยแผลบริเวณรอบๆเพื่อไปส่งตรวจหาเชื้อโรคที่แท้จริงว่าเป็นเชื้อรา Cheilitis หรือเชื้อแบคทีเรีย labialis หรือ lichen planus ในห้องปฏิบัตการ เพื่อให้แน่ใจถึงสาเหตุเพราะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน

การรักษาโรคปากนกกระจอก

การรักษาเน้นการกำจัดเชื้อโรคและทำให้แผลบริเวณที่เป็นนั้นแห้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ แพทย์จะแนะนำครีมต้านเชื้อราเพื่อรักษาการติดเชื้อ เช่น

  • clotrimazole (Lotrimin)
  • ketoconazole (Extina)
  • nystatin (Mycostatin)
  • miconazole (Lotrimin AF, Micatin, Monistat Derm)

หากการติดเชื้อเกิดจากเชื้อแบคทีเรียแพทย์จะสั่งยาต้านเชื้อแบคทีเรียเช่น

  • fusidic acid (Fucidin, Fucithalmic)
  • mupirocin (Bactroban)

แต่ทว่าการเป็นโรคปากนกกระจอกที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อของเชื้อราหรือแบคทีเรียแพทย์อาจแนะนำให้คุณใช้ปิโตรเลียมเจลลี่ทาบริเวณที่อักเสบ เป็นการป้องกันปากจากความชุ่มชื้นเพื่อให้แผลที่มุมปาก 

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *