ยาแก้แพ้ (Antihistamine) เป็นยาที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ เช่น ไข้ละอองฟาง ลมพิษ เยื่อบุตาอักเสบ และปฏิกิริยาต่อแมลงสัตว์กัดต่อย
บางครั้งก็ใช้เพื่อป้องกันอาการเมารถ และช่วยการรักษาระยะสั้นสำหรับการนอนไม่หลับ
ยาแก้แพ้ส่วนใหญ่สามารถซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป และร้านสะดวกซื้อ แต่ยาแก้แพ้บางชนิดมีจำหน่ายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น
ประเภทของยาแก้แพ้ (Antihistamine)
ยาแก้แพ้สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักได้แก่
- ยาแก้แพ้ที่ทำให้รู้สึกง่วงนอน เช่น คลอร์เฟนามีน (รวมถึงไพริตัน) ไฮดรอกซีซีน และโปรเมทาซีน
- ยาแก้แพ้ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วงซึม หรือมีโอกาสน้อยที่จะทำให้คุณรู้สึกง่วง เช่น เซทิริซีน เฟกโซเฟนาดีน และลอราทาดีน
ยาแก้แพ้นั้นมีหลายรูปแบบ – รวมทั้งยาเม็ด แคปซูล ของเหลว น้ำเชื่อม ครีม โลชั่น เจล ยาหยอดตา และสเปรย์จมูก
ยาแก้แพ้ประเภทไหนดีที่สุด
ไม่มีหลักฐานมากนักที่สามารถยืนยันได้ว่ายาแก้แพ้ประเภทใดดีกว่ายาอื่น ๆ ในการบรรเทาอาการภูมิแพ้
บางคนพบว่าบางประเภททำงานได้ดีสำหรับพวกเขา และคนอื่น ๆ ไม่เป็นเช่นนั้น คุณอาจต้องลองหลาย ๆ แบบเพื่อหาประเภทที่เหมาะกับคุณ
ยาแก้แพ้ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วงนอนมักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากยาแก้แพ้ประเภทนี้จะทำให้มีอาการง่วงนอนน้อยลง แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ การปรึกษาเภสัชกรว่ายาแก้แพ้ประเภทใดเหมาะสมกับคุณ
วิธีใช้ยาแก้แพ้
ใช้ยาแก้แพ้ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร หรือฉลากที่ระบุข้างกล่องยา ก่อนที่จะใช้ยาแก้แพ้ควรจะรู้สิ่งต่อไปนี้
- วิธีการใช้ – ว่าต้องรับประทานกับน้ำหรืออาหารหรือใช้อย่างไรให้ถูกต้อง (ถ้ายาหยอดตาหรือยาพ่นจมูก)
- ปริมาณที่ใช้ – แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ เช่น อายุและน้ำหนัก
- ควรรับประทานวันละกี่ครั้ง และควรรับประทานเมื่อใด
- ใช้เวลานานแค่ไหนในการใช้ยา
- วิธีจัดการเมื่อได้รับยาเกินขนาด
คำแนะนำจะขึ้นอยู่กับยาที่เลือกใช้ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากเภสัชกร
ผลข้างเคียงของยาแก้แพ้
เหมือนกับยาอื่นๆ ที่มีผลข้างเคียงในบางบุคคล โดยเฉพาะผลข้างเคียงยาแก้แพ้ชนิดง่วงนอนอาจมีผลข้างเคียงดังนี้
- อาการง่วงนอน การประสานงานของร่างกาย และการตัดสินใจลดลง – ห้ามขับรถ หรือใช้เครื่องจักรหลังจากรับประทานยาแก้แพ้
- ปากแห้ง
- เห็นภาพเบลอ
- ปวดปัสสาวะ
ยาแก้แพ้ชนิดไม่ง่วงนอนอาจมีผลข้างเคียงดังนี้
- ปวดศีรษะ
- ปากแห้ง
- รู้สึกไม่สบาย
- อาการง่วงนอน (เป็นไปได้น้อยมาก)
การใช้ยาแก้แพ้ร่วมกับยาอื่นๆ
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาแก้แพ้ หากคุณเคยใช้ยาอื่นอยู่แล้ว เพราะมีความเสี่ยงที่ยาจะเข้ากันไม่ได้ และส่งผลให้หยุดทำงานไม่ถูกต้อง หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ตัวอย่างของยาที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหากรับประทานร่วมกับยาแก้แพ้ ได้แก่ :
- ยากล่อมประสาท
- ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร หรืออาหารไม่ย่อย
- ยาแก้ไอ และแก้หวัดที่มีสารต่อต้านฮีสตามีน
พยายามอย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่รับประทานยาแก้แพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นชนิดที่ทำให้ง่วงนอน เนื่องจากจะเพิ่มโอกาสที่จะทำให้คุณรู้สึกง่วง
โปรดตรวจสอบฉลากของยาก่อนใช้ยาทุกๆครั้ง
ใครบ้างที่ห้ามใช้ยาแก้แพ้
โดยทั่วไปยาแก้แพ้ปลอดภัยสำหรับทุกคน แต่ควรขอคำแนะนำจากเภสัชกรเพิ่มหากคุณเป็นบุคคลต่อไปนี้
- กำลังตั้งครรภ์
- กำลังให้นมบุตร
- ยาสำหรับเด็กเล็ก
- กำลังรับประทานยาอื่น ๆ
- มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต หรือโรคลมบ้าหมู
ยาแก้แพ้บางชนิดอาจไม่เหมาะสมกับบุคคลที่กล่าวมา โปรดปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ที่สามารถแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และอ่านฉลากยาของคุณเสมอ เพื่อตรวจสอบว่าปลอดภัยก่อนที่จะนำไปใช้หรือนำไปให้ผู้อื่น
ยาแก้แพ้ทำงานอย่างไร
ยาแก้แพ้ป้องกันผลกระทบจากสารที่เรียกว่า ฮีสตามีน ในร่างกาย โดยปกติฮีสตามีนจะถูกปล่อยออกมา เมื่อร่างกายพบสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การติดเชื้อ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และผิวหนังบวม เป็นกลไกการปกป้องร่างกาย
แต่ในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับบางสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์ หรือฝุ่นว่าเป็นภัยคุกคาม และผลิตฮีสตามีน ฮีสตามีนทำให้เกิดอาการแพ้ที่สร้างอาการไม่พึงประสงค์ ได้แก่ คัน มีน้ำตาไหล น้ำมูกไหล หรือคัดจมูก การจาม และผื่นที่ผิวหนัง
ยาแก้แพ้ช่วยหยุดสิ่งนี้ได้หากรับประทานก่อนสัมผัสกับสารที่คุณแพ้ หรืออาจลดความรุนแรงของอาการได้หากรับประทานยาแก้แพ้ภายหลังสัมผัสสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก