โรควิตกกังวล (Anxiety) เป็นสิ่งปกติที่สามารถเกิดกับอารมรณ์ของคนเรา อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สึกวิตกกังวลในระดับที่มากเกินไปจนขาดสมดุล อาจกลายเป็นความผิดปกติทางสุขภาพไปได้
โรควิตกกังวลถือเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน มีความแตกต่างไปจากความวิตกกังวลทั่วไปซึ่งเป็นความรู้สึกที่สามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตพบคนไทยมากกว่าหนึ่งแสนคนป่วยด้วยโรควิตกกังวล ซึ่งโรควิตกกังวลนี้จะเป็นความกังวลที่มากกว่าปกติ ไม่ใช่เพียงแค่การคิดมากเกินไปจนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
ถ้าเราสังเกตเห็นถึงความวิตกกังวลมากจนเกินไปก็อาจสันนิษฐานได้ว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรควิตกกังวล ซึ่งสาเหตุของโรคนี้เกิดจากความผิดปกติทางจิตใจ หรือความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมก็ได้ รวมถึงอาจเกิดจากสภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู หรือการเลียนแบบพฤติกรรมจากพ่อแม่ หรือคนใกล้ชิด การประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรควิตกกังวลซึ่งมีหลายประเภท และนี่คือ 5 โรควิตกกังวลที่มักพบได้บ่อยในวัยทำงาน
อาการของโรควิตกกังวล
มีหลายโรคด้วยกันที่นับว่าเป็นโรคในกลุ่มวิตกกังวล แต่อาการของโรควิตกกังวลทั่วไป (GAD) จะมีดังนี้:
- กระสับกระส่าย ร้อนรน
- ความรู้สึกกังวลที่ควบคุมไม่ได้
- หงุดหงิด
- ไม่มีสมาธิ
- นอนไม่หลับ
แม้ว่าอาการเหล่านี้จะเป็นเรื่องปกติที่จะพบได้ในชีวิตประจำวัน แต่ผู้ที่มี GAD จะพบอาการเหล่านี้ในอย่างต่อเนื่องหรือมีความรุนแรง อาจกลายเป็นความรู้สึกไม่สงบหรือความวิตกกังวลที่รุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน
สาเหตุของโรควิตกกังวล
ที่มาของโรควิตกกังวลสามารถเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง โดยอาการนี้สามารถนำไปสู่ผู้อื่นได้ สาเหตุบางประการของโรควิตกกังวล ได้แก่
- ความเครียดจากสภาวะแวดล้อม เช่น ปัญหาในการทำงาน ปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง หรือปัญหาครอบครัว
- พันธุกรรม หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรควิตกกังวล มีแนวโน้มว่าเราอาจจะเป็นโรควิตกกังวลได้
- ปัจจัยด้านสุขภาพ เช่น อาการของโรคบางอย่าง ผลข้างเคียงของยา หรือความเครียดจากการผ่าตัด หรือการพักฟื้นเป็นเวลานาน
- ความผิดปกติของฮอร์โมนหรือคลื่นไฟฟ้าในสมอง
- ผลข้างเคียงจากการใช้สารเสพติด
วิธีรักษาโรควิตกกังวล
การรักษาจะประกอบด้วย จิตบำบัด การบำบัดพฤติกรรมและการใช้ยาร่วมกัน
การติดสุรา ภาวะซึมเศร้า หรือภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพจิต
การบำบัดด้วยตนเอง
ในบางกรณีผู้ป่วยสามารถรักษาโรควิตกกังวลได้ที่บ้านโดยไม่ต้องมีการดูแลจากแพทย์ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นผลกับผู้ที่เป็นโรควิตกกังวลขั้นรุนแรงหรือเรื้อรัง
มีวิธีและแนวทางหลายอย่าง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับมือกับโรควิตกกังวลที่รุนแรงขึ้น ได้แก่
- การจัดการความเครียด: การเรียนรู้ที่จะจัดการความเครียดสามารถป้องกันการชักนำความวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้นได้ จัดระเบียบความรับผิดชอบ แรงกดดัน และเวลาในการพักผ่อน
- เทคนิคการผ่อนคลาย: กิจกรรมง่ายๆ นั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลทางจิตใจ ได้แก่ การทำสมาธิ การหายใจเข้าลึก ๆ การอาบน้ำนาน ๆ นอนหลับพักผ่อนในความมืด และการเล่นโยคะ
- การคิดบวก: เริ่มจากการเขียนรายการความคิดเชิงลบที่วิตกกังวล และเขียนความคิดเชิงบวกในรายการถัดไป เอาความคิดเชิงบวกเข้าแทนที เผชิญกับความสำเร็จและหนีห่างจากความกลัว
- การให้กำลังใจ : พูดคุยกับคนใกล้ชิด เช่น คนในครอบครัว เพื่อนฝูง เป็นต้น
- การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมา
การเข้ารับการปรึกษา
วิธีการรักษาความวิตกกังวลสำหรับทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐาน คือ การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา อาจเป็นการบำบัดด้วยความรู้ความเข้าใจ – พฤติกรรม (CBT) จิตบำบัด หรือเป็นการบำบัดแบบผสมผสาน
CBT เป็นการทำจิตบำบัดที่เน้นการพูดคุย ใช้ความคิดและพฤติกรรมของเราเองเป็นเครื่องมือในการออกจากปัญหา แม้จะไม่เป็นที่คุ้นหูคุ้นตานักในประเทศไทย แต่ CBT ในต่างประเทศได้รับการยอมรับ มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยมากมายที่ต่อยอดไปเป็นโครงการ นโยบาย ทำให้คนเข้าถึงการรักษาสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น เช่น ในประเทศอังกฤษ มีการนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันผลสำเร็จของ CBT ไปต่อยอดเป็นโครงการชื่อ Increasing Access to Psychological Therapies (IAPT) เพิ่มพื้นที่ให้คนไข้รับการบำบัดทางจิตสังคมที่ใช้การพูดคุย โดยเปิดคลินิกทั่วประเทศ และใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างนักบำบัดขึ้นมา จากเดิมที่คนไข้ไม่ได้รับบริการ ก็เริ่มพบว่าการบำบัดรูปแบบนี้ช่วยชีวิตและเข้าถึงได้ จนทุกวันนี้คนอังกฤษสามารถเข้าไปรับบริการ CBT ได้อย่างทั่วถึง
ยารักษาอาการวิตกกังวล
ผู้ป่วยสามารถลดความวิตกกังวลด้วยยาหลายประเภท
โดยยาที่มีฤทธิ์ควบคุมอาการทางร่างกาย และจิตใจบางอย่าง ได้แก่ ยาซึมเศร้าเบนโซไตรไซคลิก และเบต้าบล็อกเกอร์
Benzodiazepines: แพทย์มักใช้ในการรักษาความวิตกกังวล แต่อาจทำให้เสพติดได้ และมีผลข้างเคียงเล็กน้อยคืออาการง่วงนอน ตัวอย่างเช่น Diazepam หรือ Valium
ยากล่อมประสาท: ช่วยบรรเทาความวิตกกังวล กรณีที่มีโรคซึมเศร้าร่วมด้วย Serotonin reuptake inhibitors (SSRI) มีผลข้างเคียงคือ กระวนกระวายใจ คลื่นไส้ และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ยาซึมเศร้าอื่น ๆ ได้แก่ fluoxetine หรือ Prozac และ citalopram หรือ Celexa
Tricyclics: เป็นกลุ่มยาที่เก่ากว่า SSRIs มีฤทธิ์ในการบรรเทาโรควิตกกังวล ทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ เวียนศีรษะ ง่วงนอน ปากแห้ง และน้ำหนักเพิ่ม ตัวอย่างเช่น Imipramine และ clomipramine
ยาอื่นๆ ที่อาจใช้ในการรักษาโรควิตกกังวล :
- monoamine oxidase inhibitors (MAOIs)
- beta-blockers
- buspirone
โปรดพบแพทย์เมื่อยาที่แพทย์สั่งก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงเกินกว่าปกติ
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.nimh.nih.gov/health/topics/anxiety-disorders/index.shtml
- https://www.nhs.uk/conditions/generalised-anxiety-disorder/
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/anxiety/symptoms-causes/syc-20350961
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก