โรคเบาหวาน (Diabetes) คือ ภาวะผิดปกติที่ร่างกายไม่สามารถจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดได้ กล่าวคือ สาเหตุของโรคเบาหวานระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
ปัจจุบันประชากรไทยวัยผู้ใหญ่ป่วยเป็นโรคเบาหวานถึง 4.8 ล้านคน และมักเกิดภาวะแทรกซ้อนเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมาจากวิถีชีวิตแบบเนือยนิ่ง โรคอ้วน และอายุที่มากขึ้น ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลรักษาเพียงร้อยละ 35.6 หรือเพียง 2.6 ล้านคน บรรลุเป้าหมายในการรักษาได้เพียง 0.9 คน ทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานในเมืองไทยมีมากถึง 200 รายต่อวัน คาดการณ์ว่าความชุกของโรคเบาหวานจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 5.3 ล้านคนภายในปี 2583 ซึ่งหากดูแลรักษาได้ไม่ดีอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไต และการถูกตัดเท้าหรือขา
การจัดการกับเบาหวานชนิดต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยเบาหวานไม่ได้จำเป็นจะต้องมีภาวะน้ำหนักเกินหรือพฤติกรรมประจำวันที่ไม่ดีเสมอไป
ประเภทของเบาหวาน
โรคเบาหวานเกิดจากอะไร เบาหวานมี 3 ประเภทหลักคือ เบาหวานประเภท 1, เบาหวานประเภท 2 และเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
เบาหวานประเภท 1 (Type I diabetes)
เบาหวานประเภทนี้มักถูกเรียกว่า โรคเบาหวานเด็ก เนื่องจากมักพบในเด็กอายุน้อย เบาหวานประเภทนี้เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลินเทียมทุกวัน เพื่อการรักษาชีวิตในแต่ละวัน
เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 diabetes)
เบาหวานประเภทนี้ ร่างกายยังคงสร้างอินซูลินอยู่ แต่เซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างมีประสิทธิภาพเบาหวานประเภทนี้เป็นเบาหวานที่พบมากที่สุด โดยความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานประเภทนี้สัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกิน
เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ (Gestational diabetes)
เบาหวานประเภทนี้ เกิดในผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์ เมื่อร่างกายสามารถตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง เบาหวานประเภทนี้พบในหญิงตั้งครรภ์บางรายเท่านั้น และสามารถรักษาให้หายได้หลังจากตั้งครรภ์
ภาวะก่อนเบาหวาน
สำหรับทางการแพทย์ ผู้ป่วยภาวะก่อนเบาหวานนั้นจะมีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วง 100 – 125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg / dL)
โดยคนปกติทั่วไประดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 70 – 99 mg / dL ในขณะที่คนที่เป็นเบาหวานรุนแรง จะมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่า 126 mg / dL
ภาวะก่อนเบาหวาน หมายความว่า ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แต่ไม่สูงมากเท่ากับเกณฑ์เบาหวาน
ผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 แม้ว่าจะไม่เคยเป็นเบาหวานมาก่อนก็ตาม
ความเสี่ยงของการเป็นภาวะก่อนเบาหวาน และโรคเบาหวานประเภทที่ 2 :
- ภาวะน้ำหนักเกิน
- สมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นผู้ป่วยเบาหวาน
- ระดับไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (HDL) ต่ำกว่า 40 mg / dL หรือ 50 mg / dL
- ความดันโลหิตสูง
- เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- มีประวัติ Polycystic ovary syndrome (PCOS)
- อายุมากกว่า 45 ปี
ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะก่อนเบาหวาน จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ป้องกันการลุกลามของโรคเบาหวานประเภท 2 โดยการลดน้ำหนักและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสามารถช่วยป้องกันภาวะก่อนเบาหวานได้
การรักษาโดยใช้อินซูลิน (Insulin)
ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 และ 2 จำเป็นต้องใช้อินซูลิน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไปให้อยู่ในระดับปกติ
อินซูลินมีหลายประเภท และถูกจัดกลุ่มตามระยะเวลาที่ออกฤทธิ์โดยแบ่งอินซูลินเป็นแบบให้ผลระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว
ผู้ป่วยบางรายใช้การฉีดอินซูลินที่ออกฤทธิ์นาน เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำอย่างสม่ำเสมอ หรือผู้ป่วยบางรายก็อาจจะใช้อินซูลินแบบออกฤทธิ์ระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ
วิธีการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดทำได้โดยใช้เครื่องมือขนาดพกพา กลูโคมิเตอร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ที่ต้องการอ่านระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อกำหนดอินซูลินที่ต้องการฉีดเข้าสู่ร่างกาย
การรักษาวิธีอื่นๆ
การรักษาโรคเบาหวาน นอกเหนือจากการใช้อินซูลินแล้ว ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่สามารถช่วยผู้ป่วยเบาหวานได้ ดังนี้
ยาเมทฟอร์มิน (Metformin)
เป็นยาสำหรับโรคเบาหวานประเภท 2 เมทฟอร์มินนั้นมีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ
สรรพคุณของเมทฟอร์มิน:
- ลดน้ำตาลในเลือด
- เพิ่มประสิทธิภาพการตอบสนองอินซูลิน
นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการลดน้ำหนัก การมีน้ำหนักในเกณฑ์ปกติสามารถช่วยลดผลกระทบจากโรคเบาหวานได้
ผู้ป่วยเบาหวานแต่ละรายมีปัจจัยด้านสุขภาพและอาการโรคเบาหวานที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์โดยเคร่งครัด
ยา SGLT2 inhibitors and GLP-1 receptor agonists
เป็นตัวยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคดังต่อไปนี้ :
- โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- โรคไตเรื้อรัง
Sodium-glucose cotransporter 2 (SGLT2) inhibitors หรือ Glucagon-like peptide-1 (GLP-1) receptor agonists ใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคอื่นร่วมด้วย ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหัวใจล้มเหลว
GLP-1 receptor agonists นั้นออกฤทธิ์โดยการเพิ่มปริมาณอินซูลินที่ร่างกายผลิต และลดปริมาณกลูโคสที่เข้าสู่กระแสเลือด ใช้โดยวิธีการฉีด สามารถใช้ร่วมกับเมทฟอร์มิน แต่อาจพบผลข้างเคียงของอาการเบาหวานเกี่ยวกับปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร เป็นต้น
SLGT2 inhibitors เป็นยาสำหรับลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการใช้อินซูลิน โดยมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมเริ่มใช้อินซูลิน เป็นยาชนิดรับประทาน ผลข้างเคียที่พึงระวังคือ การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะเพศ รวมถึงภาวะร่างกายเป็นกรด (DKA)
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://medlineplus.gov/diabetes.html
- https://www.niddk.nih.gov/health-information/diabetes/overview/what-is-diabetes
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก