การติดเชื้อจากสุนัขกัด (Dog bite) : อาการ สาเหตุ การรักษา

การติดเชื้อจากสุนัขกัด (Dog bite) : อาการ สาเหตุ การรักษา

28.09
5260
0

เมื่อสุนัขกัด จะทำให้แบคทีเรียจากสัตว์เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง อาจจะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้

การล้างแผลให้สะอาดหลังจากโดนสุนัขกัด สามารถกำจัดแบคทีเรียออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันการติดเชื้อ หากแบคทีเรียอยู่ในร่างกายอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่นบาดทะยัก พิษสุนัขบ้า หรือภาวะติดเชื้ออื่นๆ

สำหรับผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนสูงสุดในปี 2523 ที่มีผู้เสียชีวิต 370 ราย และลดลงจนในบางปีเหลือน้อยกว่า 10 รายต่อปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2561) มีผู้เสียชีวิต 5, 5, 14, 11 และ 18 ราย ตามลำดับ ส่วนปี 2562 (ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ส.ค. 62) พบผู้เสียชีวิต 2 ราย ในจังหวัดสุรินทร์ และนครศรีธรรมราช จากข้อมูลพบว่าผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และผู้เสียชีวิตทั้งหมดไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างถูกต้อง สำหรับสถานการณ์โรคในคน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ค. 62) มีจำนวนผู้สัมผัสโรคที่เข้ารับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพิ่มจาก 294,749 ราย ในปี 2561 เป็น 550,481 ราย ในปี 2562

ในบางครั้งการติดเชื้อสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หรือรับการฉีดวัคซีน เพื่อรักษาการติดเชื้อประเภทนี้

อาการของการติดเชื้อจากการโดนสุนัขกัด

อาการติดเชื้อจากหมากัด ประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้:

  • แผลบวมและแดงรอบ ๆ
  • ความเจ็บปวดบริเวณแผลนานกว่า 24 ชั่วโมง
  • มีของเหลวไหลจากบาดแผล
  • ลำบากในการเคลื่อนไหวในบริเวณที่โดนสุนัขกัด
  • รู้สึกอุ่นรอบๆ แผล

สัญญาณที่บอกว่าการติดเชื้อแพร่ไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย:

  • มีไข้
  • สั่น
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน

การจัดการเมื่อถูกสุนัขกัด และป้องกันการติดเชื้อ

เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อจากสุนัขกัด ผู้ที่ถูกกัดควรล้างแผลโดยเร็วที่สุด โดยปกติแล้วเราสามารถรักษาบาดแผลเล็กน้อยได้โดย:

  • ล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำอุ่นทำความสะอาดบริเวณแผลให้สะอาด
  • แช่แผลใต้น้ำอุ่น เพื่อล้างแบคทีเรีย
  • ทาครีมยาาปฏิชีวนะที่แผล และทำความสะอาด รอบๆแผล

หากบาดแผลลึกและร้ายแรง ควรจัดการดังนี้

  • กดผ้าแห้งสะอาดให้แน่นกับแผล เพื่อหยุดเลือด
  • ไปพบแพทย์ทันที
  • โทรหาศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉิน หากเลือดออกไม่หยุด หรือรู้สึกเป็นลม

ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ

การถูกสุนัขกัดที่มือ หรือเท้ามีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ การติดเชื้อบางอย่างจากการถูกสุนัขกัดอาจร้ายแรง และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ และถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้

แบคทีเรีย Capnocytophaga

หากผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรีย Capnocytophaga จากสุนัขจะมีอาการดังต่อไปนี้:

  • แผลมีการพุพอง
  • รอยแดงบวมและอาการปวดรอบ ๆ แผล
  • ของเหลวไหลออกจากบาดแผล
  • ไข้
  • อาเจียน
  • ท้องร่วง
  • ปวดหัว
  • ปวดข้อ

อาการจะปรากฏภายใน 14 วันหลังจากถูกสุนัขกัด ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อได้แก่:

  • การใช้แอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ม้ามไม่ทำงานตามปกติ
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • มีการใช้ยาที่สามารถทำลายเซลล์ เช่น เคมีบำบัด

หากไม่ได้การรักษา แบคทีเรีย Capnocytophaga จะทำลายสุขภาพดังนี้:

  • ไตวาย
  • หัวใจล้มเหลว
  • แผลเน่า

แพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะรักษา กรณีที่ติดเชื้อแบคทีเรีย Capnocytophaga

ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ

การกัดของสุนัขหรือสัตว์ที่ไม่ได้รับการรักษาบางครั้งอาจทำให้ติดเชื้อได้ Sepsis หรือภาวะพิษเหตุติดเชื้อความผิดปกติที่รุนแรงจากการติดเชื้อ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต นี่คืออาการของ Sepsis :

  • อุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ
  • มึนงง
  • ง่วงนอนตอนกลางวันมาก
  • ปวดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกไม่สบายตัว

หากสงสัยว่าตนเองมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและของเหลวทางหลอดเลือดดำ

โรคพิษสุนัขบ้า

นี่คืออาการเบื้องต้นของผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้า:

  • ปวดศีรษะ
  • มีไข้และอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
  • อ่อนเพลีย
  • รู้สึกคันรอบๆ แผล

โรคพิษสุนัขบ้านั้นสามารถสร้างอันตรายถึงชีวิต หากผู้ที่ถูกกัดไม่ได้รับการรักษา ควรไปพบแพทย์ทันทีหากไม่แน่ใจว่าสุนัขที่กัดมีเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือไม่ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังถูดกัด สามารถรักษาการติดเชื้อได้

โรคบาดทะยัก

โรคบาดทะยักสามารถเกิดได้จากการถูกสุนัขกัด โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้:

  • เป็นตะคริวที่ขากรรไกร
  • กล้ามเนื้อกระตุกมักพบมากในกระเพาะอาหาร
  • กลืนอาหารลำบาก
  • กล้ามเนื้อตึง

บาดทะยักถือว่าเป็นเชื้อที่ร้ายแรง หากมีความเสี่ยงหรือมีอาการเป็นโรคบาดทะยักต้องไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักให้

การรักษาบาดแผลจากสุนัขกัด

ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองที่บ้าน ในการป้องกันบาดแผลจากสุนัขกัดไม่ให้ติดเชื้อ การทำความสะอาดบาดแผลเล็กน้อยในทันทีก็เพียงพอ อย่างไรก็ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ หากเป็นบาดแผลที่รุนแรง

แพทย์จะทำความสะอาดแผลด้วยน้ำจากเข็มฉีดยา และทายาให้ การทำเช่นนี้จะช่วยล้างแบคทีเรียออกจากแผล จากนั้นแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย

แพทย์จะสามารถตรวจดูบาดแผลเพิ่มเติม เพื่อดูว่ามีส่วนอื่นๆ เช่น เส้นประสาท หรือกระดูกได้รับความเสียหายหรือไม่

หากผู้ที่โดนกัดนั้นไม่ได้รับวัคซีนบาดทะยักในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับวัคซีนบาดทะยักด้วย

และอาจจะมีการฉีดอิมมูโนโกลบูลินเป็นการให้ภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าหลังโดนสัตว์กัด โดยอิมมูโนโกลบูลินสามารถทำลายเชื้อไวรัสบริเวณแผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังฉีด หากแพทย์พิจารณาฉีดอิมมูโนโกลบูลินร่วมกับการให้วัคซีน จำเป็นต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินโดยเร็วที่สุดและฉีดเพียงครั้งเดียว โดยฉีดบริเวณในและรอบบาดแผล ขนาดที่ให้ปรับตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย

อิมมูโนโกลบูลินที่ใช้ในปัจจุบันมี 2 ชนิด แตกต่างกัน คือ

  1. อิมมูโนโกลบูลินที่ผลิตจากซีรั่มของมนุษย์ (Human rabies immunoglobulin: HRIG)
  2. อิมมูโนโกลบูลินที่ผลิตจากซีรั่มของม้า (Equine rabies immunoglobulin: ERIG) ก่อนการพิจารณาให้อิมมูโนโกลบูลินชนิดนี้ ต้องทดสอบการแพ้ทางผิวหนังก่อนทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีผื่นคันหรือลมพิษขึ้นตามตัว ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *