

GMO คือ
พืชได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอจนมีความแข็งแกร่งขึ้น มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น หรือมีรสชาติที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย และมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการใช้ GMOs
ผู้ผลิต Gmos โดยนำสารพันธุกรรมหรือ DNA จากสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน ผ่านกระบวนการที่เรียกว่าพันธุวิศวกรรมเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ GMO อาหารจีเอ็มโอที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนมากเป็นพืช เช่น ผลไม้และผัก มีข้อสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของอาหารจีเอ็มโอ ซึ่งข้อดีและข้อเสียของพืช GMO ควรพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ตามรายละเอียดที่จะกล่าวต่อไปนี้
ประโยชน์ของพืช GMO
ผู้ผลิตใช้การดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อให้ได้อาหารที่มีลักษณะตามต้องการ เช่น ออกแบบให้กลายเป็นแอปเปิ้ลใหม่ 2 สายพันธุ์ที่เกิดสีน้ำตาลน้อยลง เมื่อถูกตัด หรือเกิดรอยช้ำ และยังใช้เพื่อให้พืชผลเกิดความต้านทานโรคได้มากขึ้น ในระหว่างที่กำลังเจริญเติบโต และยังใช้พันธุวิศวกรรมมาเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ หรือทนทานต่อสารกำจัดวัชพืชมากขึ้น
การอนุรักษ์พันธุ์พืชเป็นอีกเหตุผลของการดัดแปลงพันธุกรรมพืชประเภทนี้ เมื่อพืชมีความทนทานต่อโรคระบาดโดยแมลงหรือไวรัสมากขึ้น ซึ่งทำให้เกษตรกรได้รับผลผลิตเพิ่มขึ้น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูดีอีกด้วย การดัดแปลงพันธุกรรมยังช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการหรือเพิ่มรสชาติได้ ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ส่งผลให้ต้นทุนของผู้บริโภคลดลง ทำให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพได้
ข้อเสียของ GMO
เนื่องจากอาหารจากกระบวนการพันธุวิศวกรรมเป็นแนวทางปฏิบัติที่ค่อนข้างใหม่ จึงยังไม่ค่อยทราบถึงผลกระทบระยะยาว และความปลอดภัยในการบริโภคมีการกล่าวอ้างถึงข้อเสียหลายประการ แต่ก็ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจน และประเด็นสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาหารจีเอ็มโอก็ยังคงเป็นเรื่องโต้เถียงที่ไม่มีข้อสรุป และยังคงวิจัยหาข้อเท็จจริงอยู่ โดยพบข้อเสียที่เกี่ยวข้องกับอาหารจีเอ็มโอ ดังนี้
อาการภูมิแพ้
เชื่อว่าอาหารจีเอ็มโอมีส่วนกระตุ้นปฏิกิริยาการแพ้ให้เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากอาจมียีนที่มาจากสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในกระบวนการ ทำให้อาหาร GMO เข้าไปกระตุ้นภาวะภูมิแพ้ได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่อนุญาตให้วิศวกรด้านพันธุศาสตร์นำ DNA จากสารก่อภูมิแพ้มาใช้ เว้นแต่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่ายีนดังกล่าวไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานอาการแพ้ที่เกิดจากอาหารตัดต่อพันธุกรรมที่จัดจำหน่ายอยู่
โรคมะเร็ง
เชื่อว่าการกินอาหารจีเอ็มโอจะส่งผลกระทบต่อการเกิดมะเร็งได้ พวกเขาคาดว่าโรคมะเร็งอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ใน DNA ในยีนใหม่ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะกลายเป็นอันตรายได้ แต่เป็นสันนิษฐานที่ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์อย่างชัดเจน
ความต้านทานของเชื้อแบคทีเรีย
เนื่องจาดการดัดแปลงพันธุกรรมจะเพิ่มความต้านทานต่อโรคของพืช หรือทำให้พืชมีความทนทานต่อสารกำจัดวัชพืชมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการป้องกันโรคของมนุษย์
มีโอกาสเล็กน้อยที่ยีนในอาหารจะถูกถ่ายโอนไปยังเซลล์ของร่างกาย หรือแบคทีเรียในลำไส้ พืชจีเอ็มโอบางชนิดยังมียีนที่ทำให้เกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะบางชนิด และการต่อต้านนี้อาจส่งต่อไปยังมนุษย์ได้
ความกังวลนี้กำลังเพิ่มขึ้น เมื่อพบว่าผู้คนจากทั่วโลกเริ่มเกิดอาการดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้น ซึ่งคาดว่าอาหารจีเอ็มโอมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้
WHO ระบุว่าความเสี่ยงของการถ่ายโอนยีนนั้นมีน้อย แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ผู้ผลิต GMO ควรหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเอาไว้
การผสมข้ามสายพันธุ์
การผสมข้ามพันธุ์เป็นความเสี่ยงที่ยีนของพืชจีเอ็มโอบางชนิดจะผสมข้ามสายพันธุ์กับยีนของพืชทั่วไป มีรายงานเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอในระดับต่ำที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นอาหารสัตว์ หรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการบริโภคของมนุษย์
วิธีระบุอาหาร GMO
บางประเทศยังไม่มีข้อบังคับกำหนดให้อาหารที่ได้จาก GMOs ต้องติดฉลาก เนื่องจากอาหารเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยเช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อยู่แล้ว
แต่บางประเทศอย่างประเทศไทยจะกำหนดได้ระบุว่าควรติดฉลากอาหาร GMO โดยเฉพาะในกรณีที่ “แตกต่างอย่างมาก” กับอาหารทั่วไป ตัวอย่างเช่น:
- น้ำมันคาโนลาจีเอ็มโอที่มีกรดลอริกมากกว่าน้ำมันคาโนลาแบบทั่วไป จึงให้ใช้ชื่อว่า “น้ำมันคาโนลาลอเรต”
- น้ำมันถั่วเหลืองจีเอ็มโอมีกรดโอเลอิกสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองทั่วไป จึงต้องระบุว่า “น้ำมันถั่วเหลืองโอเลอิกสูง”
- น้ำมันถั่วเหลืองจีเอ็มโอที่มีกรดสเตียริโดนิกในปริมาณมากกว่าถั่วเหลืองตามธรรมชาติ จึงต้องติดฉลากว่า “น้ำมันถั่วเหลืองสเตียริโดเนต”
นอกจากนี้อาหารที่มีส่วนผสมของพืชที่ตัดต่อพันธุกรรมจะต้องระบุว่า “มาจากวิศวกรรมชีวภาพ” หรือ “เป็นวิศวกรรมชีวภาพ”
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก