เมื่อคุณเริ่มเบื่อหน่ายกับการรักษารูปทรงของหนวดเครา หรือคิดว่ามันไม่เข้ากับใบหน้า จึงตัดสินใจที่จะล้างหน้า และโกนหนวดออก ฟังดูเหมือนจะง่าย — แค่ล้างหน้า และถูเครา แล้วโกนออก อย่างไรก็ตามเรื่องโกนหนวดไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และหากคุณโกนผิดวิธี อาจทำให้ใบหน้าระคายเคืองได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำอย่างถูกวิธี แม้ไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพียงแค่ต้องเรียนรู้ว่ามันคืออะไร ต่อไปนี้ คือ 4 เคล็ดลับ เพื่อให้มั่นใจว่าใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ความเจ็บปวด ไร้ขน เกลี้ยงเกลา และหล่อเหลา
1. เลือกมีดโกน และใบมีดโกนที่ดี
หากคุณเคยโกนหนวดมาสักพักแล้ว คุณจะรู้ดีว่าผิวใต้เคราอาจจะบางกว่าผิวส่วนอื่นๆ ของใบหน้าเล็กน้อย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้เพราะการโกนหนวดครั้งถัดๆ ไป หากยังทำไม่ถูกวิธีจะเป็นการทำให้เกิดอาการไหม้จากใบมีดโกน หรือขนคุดได้ เป็นการดีที่สุดที่จะโกนเคราในช่วงเริ่มต้นของวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะคุณไม่มีกิจกรรมทางสังคม ดังนั้นคุณสามารถให้เวลาผิวของคุณ 2-3 วันในการปรับสภาพผิว
นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้คุณทำความคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ใหม่ของหนวดเครา ก่อนที่คุณจะเปิดเผยให้เพื่อน และเพื่อนร่วมงานของคุณเห็นรูปลักษณ์ใหม่ของคุณ
2. ตัดแต่งหนวด ก่อนใช้ที่โกนหนวด
ก่อนโกนหนวดเครา คุณควรเล็มหนวดเคราให้ใกล้เคียงกับบริเวณที่จะตัดออกด้วยที่กันหนวดเครา หรือชุดกรรไกรตัดขน การโกนหนวดทั้งใบด้วยมีดโกนมาตรฐานนั้นไม่ได้ผล เพราะมีดโกนจะไม่สามารถเข้าใกล้ผิวของผิวหนังได้มากพอที่จะทำให้โกนหนวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณไม่มีชุดกรรไกรตัดขน อาจจะขอให้ช่างตัดผมใกล้ๆ บ้าน ลองทำให้ เมื่อคุณตัดเล็มหนวดเคราให้เรียบร้อย และแนบสนิทแล้ว จากนั้นให้เริ่มโกนหนวด
3. โกนหนวดหลังอาบน้ำ และใช้ครีมโกนหนวด
คุณควรโกนหนวดหลังจากอาบน้ำ เพราะหนวดเคราจะนุ่มกว่า และรูขุมขนของคุณจะนุ่มขึ้นเช่นกัน ใช้ครีมโกนหนวดคุณภาพดี และมีดโกนที่คม เริ่มจากนวดครีมโกนหนวดให้ทั่วใบหน้า และใช้มือข้างที่ว่างของคุณเหยียดผิวให้ตึง ก่อนที่จะโกนอย่างระมัดระวังตามทิศทางของขน และล้างมีดโกนบ่อยๆ ระหว่างการโกน
4. สร้างความชุ่มชื้นหลังการโกน
เมื่อโกนหนวดเสร็จแล้ว ให้ล้างหน้า และตรวจดูจุดหยาบๆ ด้วยสายตา ถ้าทุกอย่างดูเรียบเนียน ให้หยุดโกน หากคุณต้องการสัมผัสจุดใดๆ เป็นพิเศษ ให้ทำซ้ำขั้นตอนอื่นๆ โดยเฉพาะหากไม่ได้โกนมาระยะหนึ่งแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการโกนสวนทิศทางของหนวด หรือพยายามเข้าใกล้เกินไป เมื่อเสร็จแล้วให้ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัด และขั้นตอนใช้มอยส์เจอไรเซอร์หลังโกนหนวด เพื่อให้สร้างความชุ่มชื้นกับผิวที่ผ่านการโกน
สุดท้ายขอเสริมเรื่องน้ำมันสำหรับหนวดเครา (Beard Oil)
ผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างมาสำหรับคนที่รักหนวดเครานั่นก็คือ “น้ำมันเครา” ที่ถูกผลิตกันมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่เพิ่งจะมานิยมเมื่อไม่นานมานี้ โดยสรรพคุณหลักๆ คือ การให้ความชุ่มชื้นกับหนวดเครา และป้องกันความเสียหายของผิวบริเวณนั้น หลังการโกน หรือแม้กระทั่งสำหรับการไว้หนวด
แม้ว่าน้ำมันหนวดเคราจะมีหลากหลาย แต่การเลือกน้ำมันที่สำคัญที่สุดก็เป็นเรื่องสำคัญ เรามาเริ่มเรียนรู้กันเลย
ปัจจัย #1: น้ำมันเคราจำเป็นอย่างไร
เป้าหมายหลักของน้ำมันเครา คือ การให้ความชุ่มชื้น แต่น้ำมันเคราสามารถทำได้มากกว่านั้น สูตรน้ำมันเคราบางสูตรเต็มไปด้วยสารอาหารที่ปกป้องหนังกำพร้าจากความเสียหาย ในขณะที่สูตรอื่นๆ สามารถช่วยเพิ่มการเติบโตของเครา นอกจากนี้ บางชนิดยังสามารถบำรุงหนวดให้เงางาม
ปัจจัย #2: ความยาว และความแน่นของหนวดเครา
เพราะว่าเคราที่ยาวจะต้องใช้น้ำมัน 2-3 เท่าต่อวัน เมื่อเทียบกับหนวดเคราที่เล็มใกล้กับผิวหนัง และไม่ว่าคุณจะมีเคราปกคลุมทั้งใบหน้า หรือเคราเล็กน้อย ควรจะพิจารณาเรื่องปริมาณการใช้น้ำมันหนวดเคราอย่างเหมาะสม
ปัจจัย #3: เนื้อสัมผัสของหนวดเครา
มีการศึกษาที่พบว่า หนวด หรือเส้นขนเส้นเล็กเมื่อส่องกล้องภายใต้กล้องจุลทรรศน์จะมีหนังกำพร้าที่เรียบอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เส้นขนที่หยาบจะมีผิวค่อนข้างแข็ง ดังนั้นหนวดที่หยาบต้องการน้ำมันสูตรที่เข้มข้นกว่า เพราะความชื้นจะเข้าไปในเส้นขนได้ยากกว่าเส้นเล็ก
ปัจจัย #4: มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่น
ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำหรับหนวดเครา คุณต้องพิจารณาหลายๆ อย่าง เช่น คุณต้องการน้ำมันที่กลิ่นแรงหรืออ่อนๆ ว่าคุณต้องการให้มันซับซ้อน หรือเรียบง่าย และเป็นกลิ่นที่เหมาะกับคุณหรือไม่
ปัจจัย #5: อ่านรีวิวน้ำมันเครา
นอกเหนือจากโฆษณา หรือฉลากบนน้ำมันสำหรับหนวดเครา ควรจะศึกษารีวิวจากผู้ใช้งานจริงบนอินเทอร์เน็ต เพื่อจะได้เห็นข้อดี และข้อเสียของแบรนด์นั้นๆ เพื่อที่จะพิจารณาเลือกน้ำมันที่เหมาะสมกับคุณได้ดีที่สุด
ปัจจัย #6: รายการส่วนผสม
ส่วนผสมของน้ำมันเครามีความสำคัญมาก หากคุณกำลังทาน้ำมันหนวดเคราบนใบหน้าทุกวัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณควรจะมั่นใจว่าน้ำมันนั้นปลอดภัย หากจะให้มั่นใจแน่นอน ควรเลือกที่ส่วนผสมผลิตมาจากธรรมชาติ
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก