โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteroarthritis) จะมีผลต่อกระดูก กระดูกอ่อนและไขข้อในเข่า
กระดูกอ่อนเป็นเนื้อเยื่อ ที่มีพื้นผิวเรียบและลื่น มีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวของข้อต่อและเป็นเบาะกั้นระหว่างกระดูก
กระดูกอ่อนจะมีลักษณะนิ่ม และเรียงตัวไปตามข้อต่อ และจะผลิตของเหลวที่เรียกว่า น้ำไขข้อ ซึ่งมีหน้าที่หล่อลื่น ส่งสารอาหารและออกซิเจนไปยังกระดูกอ่อน
ถ้าการทำงานนี้พังลง จะไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องกระดูกหัวเข่าได้อีกต่อไป และจะทำให้กระดูกได้รับความเสียหาย
โรคข้อเข่าเสื่อม จะทำให้เกิดอาการปวดและตึงบริเวณเข่าได้ และจะมีอาการแย่ลงหากปล่อยไว้เรื่อยๆ
โรคข้ออักเสบที่พบได้มากที่สุดคือ โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteroarthritis) ในระยะแรกจะมีอาการที่ไม่รุนแรงมาก แต่ในระยะที่สี่อาจมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัด
อาการและระยะของโรค
อาการโรคข้อเข่าเสื่อม จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาหลายปี ในการที่จะพัฒนาไปยังระยะต่างๆ
โรคนี้สามารถทำการรักษาได้ยาก เพราะมักจะไม่มีการแสดงอาการออกมา จนกว่าจะเข้าสู่ระยะลุกลาม
ผู้ป่วยที่มีโรคข้อเข่าเสื่อม ควรเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของอาการหรือสังเกตข้อบ่องชี้ต่างๆ ว่าอากการกำลังจะลุกลาม
ระยะที่1 : ระยะเริ่มต้น
จะมีกระดูกก้อนเล็กๆงอกขึ้นมาบริเวณหัวเข่า ทำให้กระดูกอ่อนได้รับความเสียหายเล็กน้อย เรียกว่า กระดูกงอก
ช่องว่างระหว่างกระดูกจะแคบลง เพื่อบอกว่ากระดูกอ่อนกำลังได้รับความเสียหาย
ผู้ที่เป็นโรคไขข้อหัวเข่าเสื่อมในระยะแรก จะไม่มีอาการใดๆปรากฏ และในการเอกซ์เรย์ก็จะไม่เห็นถึงความผิดปกติของกระดูก
ระยะที่2 : ระยะข้อเข่าเสื่อมเล็กน้อย
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการ และแพทย์จะเริ่มมองเห็นถึงความผิดปกติของกระดูก
การเอกซ์เรย์ข้อเข่า จะทำให้เห็นถึงกระดูกงอกได้อย่างชัดเจน และกระดูกอ่อนจะเริ่มมีขนาดเล็กลง
ช่องว่างระหว่างกระดูกจะยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อกันจะเริ่มแข็งขึ้น
เมื่อเนื้อเยื่อเข็งตัว จะทำให้กระดูกหนาและแน่นขึ้น จะมีกระดูกบางๆเกิดขึ้นบริเวณข้อต่อของกระดูกอ่อน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตึงบริเวณรอบๆข้อเข่า จะเริ่มรู้สึกถึงความแข็งและรู้สึกไม่ค่อยสบายหลังจากที่นั่งเป็นเวลานาน
ถึงแม้ว่าจะเกิดความเสียหาย แต่ระดูกยังไม่มีการกระทบกัน เพราะยังคงมีน้ำไขข้อที่ทำหน้าที่ลดแรงเสียดทาน และช่วยในการเคลื่อนไหว
ระยะที่3 : ภาวะกระดูกอ่อนเสื่อมปานกลาง
กระดูกอ่อนจะได้รับความเสียหายมากขึ้น ช่องว่างระหว่างกระดูกจะแคบลง และจะมองเห็นความผิดปกติของกระดูกได้อย่างชัดเจนจากการเอกซ์เรย์
ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บหรือรู้สึกไม่สบายในขณะที่กำลังใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การเดิน การวิ่ง คุกเข่าหรืองอเข่า และอาจมีอาการอักเสบร่วมด้วย
เมื่อโรคไขข้ออักเสบมีอาการหนักขึ้น กระดูกอ่อนจะบางลงและถูกทำลายไปในที่สุด กระดูกงอกจะหนาขึ้นและโตออกมาด้านนอกจนเป็นก้อน
เนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณข้อต่ออาจจะสร้างน้ำไขข้อกระดูกมาไป ส่งผลให้มีอาการบามเกิดขึ้น เรียกว่า ภาวะมีน้ำในหัวเข่า
ระยะที่4 : ภาวะข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง
นี่เป็นอาการเข่าเสื่อมที่รุนแรงที่สุดของโรคข้อเข่าเสื่อม โดยจะแสดงอาการอย่างชัดเจน กระดูกอ่อนจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เพราะช่องว่างระหว่างกระดูกยังคงแคบลง
ส่งผลให้ ข้อต่อมีอาการตึงและอักเสบ เพราะน้ำไขข้อกระดูกลดน้อยลง ทำให้กระดูกได้รับแรงเสียดทานมากขึ้น และจะมีอาการเจ็บและรู้สึกไม่สบายมากขึ้นขณะที่เคลื่อนไหว
กระดูกงอกจะเห็นได้ชัดในการเอ็กซ์เรย์ แสดงว่ากระดูกอ่อนแทบจะไม่เหลือแล้ว
กระดูกงอกจะยังคงเจริญเติบโตต่อไป ส่งผลให้อาการปวดนั้นรุนแรงมากขึ้นในขณะที่ทำกิจกรรมง่ายๆ เช่น การเดิน
ในกรณีที่รุนแรง กระดูกจะมีอกากรผิดรูป เนื่องจากได้สูญเสียกระดูกอ่อนไปแล้ว
ในภาวะนี้ การผ่าตัดถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
วิธีการรักษาข้อเข่าเสื่อม
วิธีการรักษาขึ้นอยู่กัยระยะของอาการและการลุกลามของอาการ
ระยะที่ 1
ในระยะแรกมักจะยังไม่มีอาการใดๆแสดงให้เห็น ดังนั้นอาจทำได้โดยการรับประทานยาอะเซตามิโนเฟน หรือซื้อยาแก้ปวดตามร้านขายยาทั่วไป
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็มีส่วนช่วยในการรักษาของระยะนี้ได้
มีการแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมต่างๆ เช่น กลูโคซามีนและคอนดรอยติน แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดๆรับรองได้ว่า อาหารเสริมจะมีส่วยช่วยในการรักษา
ระยะที่ 2
การรักษาสามารถทำได้ดังนี้ :
- รับประทานยาแก้ปวด
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ใส่สายรัดหัวเข่า เพื่อลดแรงเสียทานหรือแรงกระแทก
- ใส่รองเท้าเพื่อลดแรงกระแทกในหัวเข่า
ในระยะนี้ ผู้ป่วยอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ระยะที่ 3
การรักษาสามารถทำได้ดังนี้ :
- รับประทานยาแก้ปวดที่หาได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น อะเซตามิโนเฟน
- ทานยาตามที่แพทย์สั่ง รวมไปถึงยาประเภท ออกซิโคโดนหรือโคเดอีน
- รับการฉีดสเตียรอยด์
เคยมีผู้ใช้กรดไฮยาลูโรนิกในการรักษา แต่ไม่มีการวิจัยใดๆรับรองว่า จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ระยะที่ 4
ในระยะนี้ กระดูกอ่อนจะมีการบางลงอย่างเห็นได้ชัดหรือหายไปเลย
ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัด เพื่อใส่ไขข้อเทียม
ทางเลือกในการรักษา
ผู้ป่วยอาจลองวิธีอื่นๆดังนี้ :
- การฝังเข็ม
- ใช้คลื่นแม่เหล็กในการรักษา แต่ก็ไม่มีผลการวิจัยรับรองอีกเช่นกัน
- การใช้เข็มฉีดน้ำเกลือเข้าไปในข้อต่อ
แต่วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ก็ยังไม่มีการรับรองว่าจะปลอดภัยและได้ผล
อย่างไรก็ตาม ควรมีการหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมกลูโคซามีน เพราะมีผลการวิจัยแล้วว่า เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ได้ผล
รักษาโดยการใช้สเต็มเซลล์
นักวิจัยกำลังทำการทดลองการสร้างกระดูกอ่อนด้วยสเต็มเซลล์ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
แต่ก็ยังคงมีความท้าทายหลายๆอย่างในการรักษา เช่น การทำเคมีบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาที่มีราคาแพง แต่ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาหลายครั้งก่อนที่จะเห็นผล และในบางครั้งการรักษาก็อาจจะไม่ได้ผล ถ้าหากผู้ป่วยมีมวลในร่างกายสูงกว่า 35
ในปี 2018 แพทย์ได้มีการทดลองใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาคนไข้ และพบว่าได้ผลลัพท์ในระยะยาว
สถานบริการบางแห่งนำเสนอการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการใช้สเต็มเซลล์ แต่ว่ารัฐบาลได้ออกมาประกาศให้ประชาชนระมัดระวังในการโฆษณาเกินจริง
ในปัจจุบัน การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาก็ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางหาร
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ :
- อาจะได้รับผลกระทยในบริเวณที่ทำการฉีดเข้าไป
- มีการสร้างเซลล์ผิดตำแหน่ง
- การทำงานของเซลล์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
- มีความเสี่ยงที่จะเป็นเนื้องอก
ผู้ที่ต้องการรับการรักษาด้วยการใช้สเต็มเซลล์ ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนที่จะมีการรักษา
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK507884/
https://www.webmd.com/osteoarthritis/ostearthritis-of-the-knee-degenerative-arthritis-of-the-knee
https://www.physio-pedia.com/Knee_Osteoarthritis
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก