โรคหนังแข็ง (Scleroderma) คือความผิดปกติของผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่มีการตึงและแข็งตัวขึ้น เป็นโรคที่มีพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่ายิ่งนานวันอาการของโรคจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
โรคนี้จะถูกวินิจฉัยว่าเป็นเป็นโรครูมาติก และโรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นภาวะแพ้ภูมิตัวเองอีกด้วย ในกรณีนี้ภูมิคุ้มกันของเราจะทำลายเนื้อเยื่อของเราเอง
ผลจากการที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย ทำให้มีการผลิตคอลลาเจนมากผิดปกติ ซึ่งคอลลาเจนเป็นโปรตีนหลักที่ใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้เกิดการหนาตัวของพังผืด และแผลเป็นที่เนื้อเยื่อ
โรคหนังแข็งเป็นโรคไม่ติดต่อ แม้จะพบมากในผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ แต่สามารถพบได้บ่อยในคนที่ไม่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวข้องเป็นโรคนี้เลย ความรุนแรงของโรคมีตั้งแต่ไม่ร้ายแรงมากจนถึงขั้นเสียชีวิต โดยมีผู้ป่วยมากถึง 1 ใน 3 ที่มีอาการของโรคนี้ขั้นรุนแรง
อาการของโรคหนังแข็ง
โรคหนังแข็ง หมายถึง “ผิวหนังแข็ง”
อาการเริ่มต้นของโรคหนังแข็ง คือจะเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่นิ้วมือและมือ ได้แก่ มีอาการบวมและรู้สึกตึงๆ หากอยู่ในที่เย็นหรือมีความเครียด
อาการบวมจะเริ่มเกิดขึ้นที่มือและเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช้า
อาการโดยรวมของโรคหนังแข็ง มีดังนี้:
- มีแคลเซียมเกาะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- มีภาวะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงมือและเท้าตีบ ซึ่งเรียกว่า โรคเรเนาด์ (Raynaud’ s disease)
- มีปัญหาของหลอดอาหาร ที่เชื่อมโยงระหว่างลำคอและกระเพาะอาหาร
- ผิวที่นิ้วมือจะตึงและหนา
- มีจุดแดง ที่ใบหน้าและมือ
อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดขึ้นอาจมีความแตกต่างกัน ตามประเภทและผลกระทบในผู้ป่วยแต่ละคน รวมทั้งอาจเกิดขึ้นบางส่วน หรือทั้งหมดของร่างกายด้วย
ประเภทของโรคหนังแข็ง
โรคหนังแข็งแบ่งออกเป็น 2 ประเทภใหญ่ๆ คือ โรคหนังแข็งเฉพาะที่ (localize scleroderma) และโรคหนังแข็งทั่วตัว (systemic scleroderma)
โรคหนังแข็งเฉพาะที่ (Localized scleroderma) มักจะเกิดขึ้นที่ผิวหนัง แต่อาจมีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อและกระดูก
โรคหนังแข็งทั่วตัว (Systemic scleroderma) จะมีผลกระทบทั้งร่างกาย โดยมีผลกระทบอย่างมากต่อ ไต หลอดอาหาร หัวใจ และปอด รวมไปถึงเลือดและอวัยวะภายในด้วย
โรคหนังแข็งเฉพาะที่ (Localized Scleroderma)
โรคหนังแข็งเฉพาะที่ เป็นรูปแบบของโรคหนังแข็งที่ไม่รุนแรง ไม่มีผลกระทบต่ออวัยวะภายใน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เป็นหย่อมๆ (Morphea Scleroderma) และ แบบเส้นตรง (Linear Scleroderma)
ประเภท Morphea: จะมีอาการเป็นปื้นรูปวงรีปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งปื้นเหล่านั้นจะมีสีจางหรือสีเข้มกว่าผิวหนังบริเวณอื่น บางครั้งอาจมีอาการคัน ขนหลุดร่วง และเป็นมัน ขอบของปื้นเป็นสีม่วงและมีสีขาวอยู่ตรงกลางปื้นนั้นด้วย
ประเภท Linear Scleroderma: จะมีแถบหรือริ้วของหนังแข็งๆ ให้เห็นบนแขน ขา แต่จะไม่เกิดขึ้นที่ศีรษะและใบหน้า โรคหนังแข็งประเภทนี้จะมีผลกระทบต่อกระดูกและกล้ามเนื้อด้วย
โรคหนังแข็งทั่วตัว (Systemic Scleroderma)
โรคหนังแข็งประเภทนี้ จะส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดและอวัยวะภายใน
โรคหนังแข็งทั่วตัวแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ดังนี้:
- limited cutaneous systemic sclerosis syndrome, หรือ CREST
- diffuse systemic sclerosis
Limited cutaneous systemic sclerosis
โรคหนังแข็งชนิดนี้เป็นชนิดที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด จะเกิดขึ้นกับมือ เท้า ใบหน้า และแขน ขา ส่วนล่างเท่านั้น แต่อาจมีผลกระทบต่อหลอดเลือด ปอด และระบบย่อยอาหาร
Diffuse systemic sclerosis
โรคหนังแข็งชนิดนี้ จะมีหนังหนาเกิดขึ้นที่มือจนถึงบริเวณเหนือข้อมือ และยังมีผลกระทบต่ออวัยวะภายในอีกด้วย
ผู้ที่เป็นโรคหนังแข็งแบบทั่วตัว จะรู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนแรง หายใจลำบาก กลืนอาหารลำบาก และน้ำหนักลด
สาเหตุของโรคหนังแข็ง
ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของโรคหนังแข็ง แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากการแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ทำให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากเกินไป เกิดการหนาตัวของเนื้อเยื่อ เกิดพังผืดที่หนาขึ้น และทำให้มีแผลเป็นที่เนื้อเยื่อ
เนื้อเยื่อเกี่ยวพันจะก่อตัวประกอบเป็นโครงร่างเพื่อรองรับร่างกาย ซึ่งจะพบเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอยู่รอบๆ อวัยวะภายใน และหลอดเลือด และยังช่วยยึดให้กล้ามเนื้อติดกับกระดูกด้วย
ปัจจัยทางพันธุกรรมอาจมีส่วนก่อให้เกิดโรคนี้ แต่ยังไม่มีผลการยืนยัน
และพบว่าคนที่เป็นโรคหนังแข็งมักจะมาจากครอบครัวที่มีประวัติภาวะแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง
โรคหนังแข็งไม่ใช่โรคติดต่อ
การรักษาโรคหนังแข็ง
ในปัจจุบัน ยังไม่พบวิธีและยารักษาโรคหนังแข็ง และยังไม่มียาชนิดใดที่จะหยุดการผลิตคอลลาเจนที่มากเกินไปของร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน เพื่อลดความเสียหายและยังคงทำงานได้ตามปกติ
โรคหนังแข็งเฉพาะที่ อาจจะหายไปได้เอง และมียาบางชนิดที่อาจช่วยควบคุมอาการและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
จุดประสงค์ในการรักษา เพื่อลดอาการของโรค และป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น หรืออย่างน้อยก็ทำให้เกิดโรคช้าลง เพื่อหาสาเหตุและรักษาภาวะแทรกซ้อนให้ทันการณ์ และลดโอกาสที่จะพิการให้ได้มากที่สุด
การรักษาขึ้นอยู่กับอาการของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
ยาลดความดันโลหิต บางชนิดทำให้หลอดเลือดขยายตัวขึ้น วิธีนี้อาจช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับอวัยวะภายใน เช่น ปอด ไต และอาจช่วยแก้ปัญหาโรคเรนัลด์ (Raynaud’s disease.)ได้
ยากระตุ้นภูมิคุ้มกันอาจช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ต่อต้านตนเอง หรือต่อต้านน้อยลง
การทำกายภาพบำบัดอาจช่วยให้ความเจ็บปวดน้อยลง ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น แข็งแรงขึ้น อุปกรณ์ช่วยเหลือบางอย่าง เช่น เฝือก จะช่วยทำให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น
การบำบัดด้วยแสงอัลตราไวโอเว็ต หรือผ่าตัดด้วยเลเซอร์ อาจช่วยลดการอาการโดดเด่นของผิวบริเวณที่มีอาการ
นักวิทยาศาสตร์ยังคิดค้นวิธีการที่จะรักษาโรคนี้ และหวังว่าจะพบวิธีรักษาโดยเร็ว
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.healthline.com/health/scleroderma
- https://www.nhs.uk/conditions/scleroderma/
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/scleroderma/symptoms-causes/syc-20351952
- https://medlineplus.gov/genetics/condition/systemic-scleroderma/
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก