โรคไข้แมวข่วน (Cat Scratch Fever) เกิดขึ้นเมื่อถูกข่วน กัด หรือเลียจากแมวที่มีเชื้อ Bartonella henselae.
การติดเชื้อมักไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่อาจทำให้เกิดปัญหากับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การรู้จักวิธีรักษาไข้แมวข่วนสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็ว
แมวสามารถแพร่เชื้อโรคไปสู่คนได้หลายโรค โรคเหล่านี้บางครั้งอาจมีความรุนแรงมาก การดูแลสุขภาพอนามัยของแมวที่เลี้ยงอยู่เป็นประจำจะเป็นการลดความเสี่ยงของการติดโรคต่างๆ เหล่านี้ได้
สาเหตุของไข้แมวข่วน
คนอาจเป็นไข้แมวข่วนหลังจากโดนแมวที่ติดเชื้อ แบคทีเรีย Bartonella henselae (B. henselae) ข่วนหรือกัด ซึ่งเชื้อนี้อยู่ในน้ำลายของแมว และสามารถติดต่อไปยังคนโดยการสัมผัสโดยตรงทางผิวหนัง
ไข้แมวข่วนจะพบได้บ่อยในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนี้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยออกนอกบ้านและจะเล่นกับแมว (ในกรณีที่เลี้ยงแมว) ซึ่งดูเหมือนว่าเด็กๆ จะชอบเลี้ยงแมวมากกว่าผู้ใหญ่ซึ่งการเล่นกับแมวแบบห่ามๆ จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการที่จะโดนแมวข่วนได้
อาการของไข้แมวข่วน
ไข้แมวข่วนมักไม่แสดงอาการในช่วง 2-3 วันแรก หรือสัปดาห์แรกภายหลังการสัมผัสเชื้อ แต่จะเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียเพิ่มจำนวนขึ้นในร่างกาย
ประมาณ 3-14 วันหลังจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มสังเกตเห็นตุ่มหรือผื่นในบริเวณจุดสัมผัส (บริเวณโดนข่วนหรือกัด) โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ :
- แขน
- มือ
- หนังศีรษะ
- ศีรษะ
แพทย์เรียกสิ่งนี้ว่า “inoculation lesion” (เหมือนรอยแผลที่เกิดจากการฉีดวัคซีน) รอยนี้อาจไม่เกิดขึ้นบางคน หรือบางคนอาจสังเกตไม่พบรอยนี้บนร่างกาย
2-3 สัปดาห์ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับรอยนี้ จะมีอาการบวมพองเมื่อจับดูจะรู้สึกอ่อนนุ่ม
ต่อมน้ำเหลืองมีหน้าที่เป็นตัวกรองแบคทีเรียและอนุภาคอื่นๆ และสร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ต่อมเหล่านี้มักจะดูคล้ายฟองน้ำกลมๆ หรือกลมรูปไข่เล็ก ๆ
หากมีคนถูกกัดหรือข่วนที่แขน อาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองใต้แขนหรือใกล้ข้อศอกมีอาการบวมเป็นพิเศษ
บางครั้งต่อมน้ำเหลืองอาจจะบวมแดง และบวมมากถึง 2 นิ้ว (วัดจากด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง) เมื่อจับดูจะรู้สึกอุ่นๆ และมีของเหลวอยู่ข้างในจุดที่บวม อาการเหล่านี้อาจยังคงแสดงอยู่นานประมาณ 2-3 สัปดาห์
สำหรับคนส่วนใหญ่ อาการต่อมน้ำเหลืองบวมเป็นอาการเดียวที่พบ แต่อย่างไรก็ตามบางคนอาจมีพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น :
- ปวดท้อง
- เบื่ออาหาร
- มีไข้ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการไข้ไม่สูงไปกว่า 38 องศาเซลเซียส
- อาการเหนื่อยล้า
- ปวดหัว
- ปวดข้อ
- มีผื่น
- เจ็บคอ
หากสังเกตพบว่า รอยข่วนมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะโดนข่วนผ่านไปแล้ว 2 วัน ควรไปพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนของไข้แมวข่วน
ไข้แมวข่วนส่วนใหญ่อาการมักไม่ค่อยรุนแรง แต่บางคนอาจมีอาการตัวร้อนเป็นเวลานาน บางคนอาจมีอาการติดเชื้อในกระดูกข้อต่อ ตับ ปอดหรือม้าม
จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) โรคนี้จะแสดงอาการที่รุนแรงกับเด็กอายุที่มีอายุไม่เกิน 5 ปี
ปกติแล้วไข้แมวข่วนมักมีอาการไม่รุนแรงถึงขั้นต้องรักษาแบบฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ทางที่ดีควรไปพบแพทย์ทันทีหากพบอาการดังต่อไปนี้:
- แมวกัดหรือข่วนที่ไม่ได้รับการรักษา หรือมีอาการแย่ลง
- รอบๆ รอยกัดหรือรอยข่วนเริ่มแดง และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- มีไข้สูงนานเกิน 2 วันหลังจากถูกกัดหรือข่วน
- ปวดบริเวณโดนกัดหรือโดนข่วนอย่างรุนแรง
การรักษาโรคไข้แมวข่วน
ไข้แมวข่วนส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และแพทย์มักจะไม่รับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล หากอาการอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรงแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะแทน
การรักษาอาการที่บ้าน การนอนพักผ่อน หรือหากมีอาการปวดที่เกิดจากอาการต่อมน้ำเหลืองบวม สามารถใช้ยาแก้ปวดระงับอาการได้
เด็กส่วนใหญ่ที่เป็นไข้แมวข่วนสามารถทำกิจกรรมตามปกติต่อไปได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระแทก หรือรบกวนตรงจุดของต่อมน้ำเหลืองที่บวมเนื่องจากไข้ดังกล่าวนี้
ผู้เคยเป็นไข้แมวข่วนมาแล้ว โดยปกติมักจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.cdc.gov/healthypets/diseases/cat-scratch.html
- https://www.healthline.com/health/cat-scratch-disease
- https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/cat-scratch-fever
- https://kidshealth.org/en/parents/cat-scratch.html
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก