ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสำลัก
การสำลัก (Choking) คือ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ หลุดเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ขัดขวางไม่ให้การหายใจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสำลักทำให้เกิดอาการไอ แต่หากทางเดินหายใจถูกปิดกั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้
การสำลักเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่แท้จริง ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขที่รวดเร็วและเหมาะสม หน่วยกู้ภัยอาจช่วยชีวิตผู้สำลักไม่ทันเวลา
การหายใจมีความสำคัญต่อชีวิต เราหายใจเข้าด้วยก๊าซรวมซึ่งประกอบด้วยก๊าชไนโตรเจน ออกซิเจนคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่น ๆ
-
ก๊าซออกซิเจนในปอดจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ร่างกายของเราใช้ออกซิเจนเพื่อสร้างพลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อถูกลำเลียงกลับไปที่ปอด
-
เมื่อหายใจออก จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน และก๊าซออกซิเจนออกจากร่างกาย
-
เมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้น และไม่มีก๊าซออกซิเจนเข้าในปอด เซลล์สมองที่ไวต่อการขาดออกซิเจนจะตายภายใน 4-6 นาที การปฐมพยาบาลเพื่อกระตุ้นให้เซลล์สมองกลับมาทำงานได้ต้องทำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากเซลล์สมองจะตายอย่างถาวรหลังจากขาดออกซิเจนเพียง 10 นาที
สาเหตุของการสำลัก
การสำลักเกิดจากการที่มีชิ้นส่วนของอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ หลุดเข้าไปติดอยู่เหนือหลอดลม
-
ด้านหลังของปากมีช่องเปิด 2 ช่อง ช่องแรกคือหลอดอาหารซึ่งเป็นทางผ่านของอาหารไปสู่กระเพาะอาหาร อีกช่องหนึ่งคือหลอดลมที่จะเปิดให้อากาศผ่านไปยังปอด ในขณะที่เรากลืนอาหาร หลอดลมจะถูกปิดด้วยแผ่นปิดที่เรียกว่า epiglottis เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารหลุดเข้าไปในปอด หลอดลมแยกออกเป็นหลอดลมใหญ่ไปทางด้านซ้ายและด้านขวา เพื่อไปสู่ปอดซ้ายและขวา จากนั้นจะกระจายไปทั่วปอดโดยแตกแขนงเป็นท่อขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ
-
เมื่อมีสิ่งหลุดลงไปในทางเดินหายใจจะติดเนื่องจากทางเดินหายใจแคบลง หากวัตถุมีขนาดใหญ่มากจะเข้าไปติดอยู่ภายในหลอดลมที่กล่องเสียง
ในผู้ใหญ่ อาการสำลักมักเกิดขึ้นเมื่อเคี้ยวอาหารอย่างไม่ถูกต้อง เช่น พูด หรือหัวเราะในขณะที่กินอาหารทำให้มีเศษอาหาร “ตกลงผิดท่อ” กลไกการกลืนตามปกติอาจช้าลงหากดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยา หรือมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคพาร์กินสัน
-
ในคนผู้สูงอายุปัจจัยเสี่ยงของการสำลัก ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม และการบริโภคแอลกอฮอล์
-
ในเด็ก การสำลักมักเกิดขึ้นเพราะเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พยายามกินอาหารชิ้นใหญ่เกินไป หรือกินอาหารมากเกินไปในคำเดียว หรือกินขนมแข็ง นอกจากนี้ เด็กๆ ยังเอาสิ่งของชิ้นเล็กๆ เข้าปากซึ่งอาจทำให้ติดอยู่ในลำคอได้ เช่น ถั่ว หมุด หินอ่อน หรือเหรียญ ทำให้เกิดอันตรายจากการสำลัก
อาการ และสัญญานของการสำลัก
หากผู้ใหญ่สำลักอาจสังเกตเห็นพฤติกรรมต่อไปนี้
-
ไอหรือปิดปาก
-
ส่งสัญญาณมือและแสดงความตื่นตระหนก (บางครั้งชี้ไปที่ลำคอ)
-
ไม่สามารถพูดคุยได้อย่างกะทันหัน
-
การกำคอ การตอบสนองตามธรรมชาติต่อการสำลักคือการจับคอด้วยมือเดียวหรือทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกอาการสำลักสากลและเป็นวิธีบอกคนรอบข้างว่ากำลังสำลัก
-
หายใจไม่ออก
-
สลบ
-
หน้าเขียว: อาการตัวเขียว, สีฟ้าที่ผิวหนังจะปรากฏให้เห็นได้เร็วที่สุดที่บริเวณใบหน้า ริมฝีปาก และฐานเล็บ แต่สัญญานการสำลักที่สำคัญอื่นๆ อาจปรากฏให้เห็นก่อนอาการนี้
-
หากทารกสำลักต้องใส่ใจต่อทารกให้มากขึ้น เนื่องจากทารกไม่สามารถสื่อสารเครื่องหมายการสำลักสากลได้
-
หายใจลำบาก
-
ร้องไห้แผ่ว ไออย่างอ่อนแรง หรือทั้ง2 อย่าง
-
ข้อแนะนำสำหรับการปฐมพยาบาลผู้มีอาการสำลัก
-
โทร 1669
-
ให้ผู้ป่วยยินยอมรับการรักษา
-
โน้มตัวผู้ป่วยไปข้างหน้าและตบหลังด้วยอุ้งมือ 5 ครั้ง
-
รัดกระตุกหน้าท้องเร็วๆ 5 ครั้ง
(หมายเหตุ: คุณสามารถรัดกระตุกหน้าท้องตัวเองได้โดยใช้มือของคุณเช่นเดียวกับที่คุณทำกับบุคคลอื่นหรือเอนตัวไปแล้วกดหน้าท้องของคุณกับวัตถุที่มั่นคงเช่นด้านหลังของเก้าอี้)
-
ทำการตบหลังด้วยอุ้งมือสลับกับการรัดกระตุกหน้าท้องต่อไปจนกระทั่ง
-
สิ่งแปลกปลอมที่กีดขวางทางเดินหายใจหลุดออกมา
-
ผู้ป่วยสามารถหายใจหรือไอแรง ๆ ได้
-
ผู้ป่วยหมดสติ
สิ่งที่ต้องทำต่อ: หากผู้ป่วยหมดสติให้โทรไปที่ 1669 แล้วให้การช่วยเหลือผู้ใหญ่ที่สำลักจนหมดสติ ตามขั้นตอนด้านล่างนี้
สภากาชาดอเมริกันให้คำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่สำลักหมดสติ ดังนี้
-
พยายามช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ (ถ้าเป็นไปได้ให้ป้องกันด้วยการใช้ หน้ากากช่วยชีวิต หรือกระจังป้องกันใบหน้า(face shield) สภากาชาดอเมริกันแนะนำว่าไม่ควรรออุปกรณณ์ช่วยการหายใจ เนื่องจากอาจไม่มีที่ปิดกั้นหรือไม่ทราบวิธีใช้
การช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ
-
เอียงศีรษะ ยกคาง จากนั้นบีบปิดปลายจมูก
-
หายใจเข้าแล้วหายใจประกบกับปากของป่วย
-
เป่าลมเข้าไปเพื่อทำให้หน้าอกยกสูงขึ้น
(เคล็ดลับ: การช่วยหายใจแต่ละครั้ง ควรใช้เวลาประมาณ 1 วินาที)
-
หากลมหายใจยังไม่เข้า ให้เอียงศีรษะไปด้านหลังมากขึ้น แล้วลองช่วยหายใจอีกครั้ง
-
หากหน้าอกไม่ยกขึ้น ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง (เคล็ดลับ: ถอดสิ่งกีดขวางการหายใจออกเมื่อทำการกดหน้าอก)
วิธีกดหน้าอก
-
วางมือสองข้างตรงกลางหน้าอก (ที่ครึ่งล่างของกระดูกอก)
-
กดหน้าอกลงไป 1.5- 2 นิ้ว
-
กด 30 ครั้งในเวลา 18 วินาที (100 ครั้งภายใน 1 นาที)
-
มองหาสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในทางเดินหายใจ
-
หากพบสิ่งแปลกปลอม ให้นำออก
-
พยายามช่วยหายใจ
-
ทำซ้ำๆ จนกว่าหน่วยแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง หรือจนกว่าสิ่งที่กีดขวางทางเดินหายใจจะหลุดออกมา และผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้
สภากาชาดอเมริกันได้ให้แนวทางสำหรับการรักษาการสำลักในทารก หรือทารกอายุ 1 ปีหรือต่ำกว่า ด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกับแนวทางที่กล่าวไว้ข้างต้นสำหรับสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา
การดูแลผู้มีอาการสำลัก
-
การรักษาผู้สำลักที่ตัวเริ่มเขียวหรือหยุดหายใจจะแตกต่างกันไปตามอายุของผู้ป่วย ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปีใช้วิธีรัดกระตุกหน้าท้อง (เดิมเรียกว่า “การรัดกระตุกหน้าอก ; Heimlich maneuver”) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไอซึ่งอาจแรงมากพอที่จะผลักให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้
-
การรัดกระตุกหน้าท้องขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ในยกกะบังลมขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ช่องอกเล็กลง ช่องท้องทำให้กะบังลมขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ช่องอกเล็กลง มีผลให้เกิดการบีบอัดของปอดดันลมออกอย่างรวดเร็ว ดันเอาสิ่งแปลกปลอมที่ทำเกิดการสำลักหลุดออกมากับลม
วิธีรัดกระตุกหน้าท้อง
-
ผู้ช่วยเหลือเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของผู้ป่วย โน้มตัวผู้ป่วยไปข้างหน้าเล็กน้อย กำหมัดด้วยมือเดียว โอบแขนรอบตัวผู้ป่วย โดยใช้มืออีกข้างจับกำปั้นไว้ที่กึ่งกลางใต้ซี่โครง กดมือเข้าข้างในแล้วกระตุกมือขึ้นด้านบนอย่างหนักและรวดเร็ว เพื่อพยายามช่วยผู้ป่วยไอ ควรทำซ้ำๆ จนกว่าผู้ป่วยจะสามารถหายใจได้เอง หรือหมดสติไป
-
หากผู้ป่วยหมดสติ ให้ค่อย ๆ วางตัวผู้ป่วยโดยให้นอนราบกับพื้น หากต้องการเคลียร์ทางเดินหายใจให้คุกเข่าลงข้างตัวผู้ป่วยแล้ว วางอุ้งมือแนบใต้ซี่โครงตรงกลางท้อง วางมืออีกข้างไว้ด้านบนแล้วกดเข้าด้านในจากนั้นดันมือทั้ง 2 ข้าง ขึ้น 5 ครั้ง หากทางเดินหายใจโล่งและผู้ป่วยยังไม่ตอบสนองให้เริ่มทำ CPR
สำหรับทารก (อายุน้อยกว่า 1 ปี) ตัวเด็กจะมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับการช่วยเหลือด้วยวิธีรัดกระตุกหน้าท้อง ควรอุ้มทารกขึ้นมาแล้วตบหลัง 5 ครั้ง ตามด้วยการกดหน้าอก 5 ครั้ง ควรอุ้มทารกด้วยความระมัดระวัง โดยให้ศีรษะต่ำลงเพื่อให้แรงโน้มถ่วงช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง และต้องระมัดระวังในการหนุนศีรษะของทารกด้วย หากทารกตัวเขียวหรือตัวคล้ำลง หรือไม่ตอบสนอง ควรทำ CPR
เมื่อพบเห็นคนสำลักและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ ให้รีบโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที คุณอาจสามารถช่วยหยุดการสำลักได้สำเร็จโดยใช้เทคนิคที่กล่าวมาแล้วก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง แต่การให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินประเมินอาการของผู้สำลักเมื่อมาถึงคือวิธีที่ดีที่สุด หากมีสิ่งใดติดอยู่ในลำคอทีมแพทย์ฉุกเฉินสามารถดูแลได้ทันทีและนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป
รูปแบบของการรัดกระตุกหน้าท้องสำหรับสถานการณ์พิเศษ
-
ผู้ป่วยนั่งอยู่: อาจทำการรัดกระตุกหน้าท้องโดยให้เหยื่อนั่ง ในกรณีนี้ด้านหลังของเก้าอี้จะทำหน้าที่เป็นที่รองรับตัวผู้ป่วย ผู้ช่วยชีวิตยังคงโอบแขนรอบตัวผู้ป่วยและทำตามขั้นตอนที่อธิบายไว้ข้างต้น ผู้ช่วยชีวิตมักต้องคุกเข่าลง ในกรณีที่ด้านหลังของเก้าอี้อยู่สูงเกินไป ให้ผู้ป่วยยืนขึ้นหรือหมุนตัว 90 องศาเพื่อให้ด้านหลังของเก้าอี้อยู่ด้านใดด้านหนึ่งของผู้ป่วย
-
สำหรับผู้ช่วยชีวิตที่มีรูปร่างเล็กและผู้ป่วยมีรูปร่างใหญ่กว่า โดยเฉพาะกรณีที่เด็กช่วยชีวิตผู้ใหญ่: แทนที่จะยืนอยู่ข้างหลังผู้ป่วย ให้จัดท่าสำหรับการช่วยเหลือโดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย ผู้ช่วยเหลือคร่อมเอวของผู้ป่วยไว้ วางมือข้างหนึ่งไว้ที่ท้องโดยให้อยู่กึ่งกลางระหว่างสะดือและขอบกระดูกหน้าอก ดันเข้าด้านในและกระตุกมือขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่ใช้ในคนหมดสติ
หากคุณกำลังสำลักและอยู่คนเดียว: คุณอาจรัดกระตุกท้องเองได้ โดยเลือกทำได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 2 วิธีนี้
-
คุณสามารถรัดกระตุกท้อง “ตัวเอง” ด้วยมือของคุณเอง โดยการวางตำแหน่งมือของคุณในลักษณะเดียวกับที่คุณกำลังทำการช่วยเหลือคนอื่น และส่งแรงดันเข้าข้างในและกระตุกมือขึ้นด้านบน
-
อีกวิธีหนึ่งคือ การงอท้องเหนือวัตถุที่มั่นคง เช่น หลังเก้าอี้ แล้วดันเพื่อกดตัวเองเข้าไปในวัตถุนั้น
-
คุณอาจหมดสติก่อนที่จะสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา และก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง ในชุมชนส่วนใหญ่มักมีระบบช่วยเหลือของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน(สพฉ.) ที่เรียกว่า สายด่วน 1669 เมื่อใดก็ตามที่มีการโทรผ่าน 1669 ไปยังศูนย์จัดส่งผู้มอบหมายงาน จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์ ตำแหน่งของผู้ใช้โทรศัพท์ และเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ของสายเรียกเข้า ซึ่งช่วยระบุตำแหน่งที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้สามารถตรวจสอบการโทรศัพท์ได้
-
กดหมายเลข 1669 และเปิดสายการสนทนาโทรศัพท์ทิ้งไว้ใน การปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะมาถึงในกรณีที่การกระตุกรัดท้อง “ตัวเอง” เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมานั้นล้มเหลวและคุณหมดสติไปก่อน หากผู้มอบหมายงานเพิกเฉยต่อสายสนทนานี้ ต้องมีการตรวจสอบการโทร
-
ตรวจสอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่ และหาคำตอบว่าศูนย์จัดส่ง 1669 ในพื้นที่ของคุณปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้หรือไม่ หากคุณอาศัยอยู่ในชุมชนที่ไม่มีระบบสายด่วน 1669 ให้ตรวจสอบหมายเลขฉุกเฉินและการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้กับหน่วยงานตำรวจท้องที่
ผู้ที่ตั้งครรภ์ / เป็นโรคอ้วน: การรัดกระตุกท้องอาจไม่ได้ผลในผู้ที่มีครรภ์แก่ใกล้คลอดหรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน ในกรณีนี้สามารถใช้วิธีกดหน้าอกได้ สำหรับผู้มีสตินั่งหรือยืนได้ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
-
วางมือไว้ใต้รักแร้ของผู้ป่วย
-
โอบแขนรอบหน้าอกของผู้ป่วย
-
วางนิ้วหัวแม่มือของกำปั้นไว้ตรงกลางกระดูกหน้าอก
-
จับกำปั้นด้วยมืออีกข้างแล้วดันไปข้างหลัง ทำเช่นนี้ต่อเนื่องจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา หรือจนกว่าผู้ป่วยจะหมดสติ
สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวหรือเป็นโรคอ้วน ลำดับเหตุการณ์จะเหมือนกับการช่วยชีวิตผู้ใหญ่ที่หมดสติ มีการรัดกระตุกหน้าอกแทนการรัดกระตุกท้อง ในการวางตำแหน่งตัวเองสำหรับการกระตุกหน้าอกให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
-
คุกเข่าลงข้างตัวของผู้ป่วย
-
เลื่อนสองนิ้วขึ้นที่ขอบด้านล่างของโครงกระดูกซี่โครงจนกระทั่งถึงขอบด้านล่างของกระดูกหน้าอกที่เรียกว่า ลิ้นปี่
-
ในขณะที่วางสองนิ้วบนลิ้นปี่ ให้วางมืออีกข้างบนกระดูกหน้าอกเหนือนิ้วมือ เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาควรออกแรงกระตุกอย่างแงและรวดเร็ว
-
ควรความระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกซี่โครงหัก และความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ ที่อาจเกิดขึ้นจากการรัดกระตุกหน้าอก
-
ถ้าเป็นไปได้ ในหญิงตั้งครรภ์ควรทำการรัดกระตุกท้องที่กะบังลม(ใต้ชายโครง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังมีพื้นที่ว่างระหว่างมดลูกและทารกที่โตขึ้นกับโครงกระดูกซี่โครง และทำการรัดกระตุกโครงกระดูกซี่โครง
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/first-aid/first-aid-choking/basics/art-20056637
-
https://www.healthline.com/health/choking-adult-or-child-over-1-year
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก