การสำลัก (Choking) :อาการ สาเหตุ การรักษา

การสำลัก (Choking) :อาการ สาเหตุ การรักษา

17.02
6200
0

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสำลัก

การสำลัก (Choking) คือ อาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ หลุดเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ขัดขวางไม่ให้การหายใจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสำลักทำให้เกิดอาการไอ แต่หากทางเดินหายใจถูกปิดกั้นอาจทำให้เสียชีวิตได้

การสำลักเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่แท้จริง ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขที่รวดเร็วและเหมาะสม หน่วยกู้ภัยอาจช่วยชีวิตผู้สำลักไม่ทันเวลา

การหายใจมีความสำคัญต่อชีวิต เราหายใจเข้าด้วยก๊าซรวมซึ่งประกอบด้วยก๊าชไนโตรเจน ออกซิเจนคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่น ๆ

  1. ก๊าซออกซิเจนในปอดจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ร่างกายของเราใช้ออกซิเจนเพื่อสร้างพลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียจะแพร่เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อถูกลำเลียงกลับไปที่ปอด

  2. เมื่อหายใจออก จะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจน และก๊าซออกซิเจนออกจากร่างกาย

  3. เมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้น และไม่มีก๊าซออกซิเจนเข้าในปอด เซลล์สมองที่ไวต่อการขาดออกซิเจนจะตายภายใน 4-6 นาที การปฐมพยาบาลเพื่อกระตุ้นให้เซลล์สมองกลับมาทำงานได้ต้องทำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากเซลล์สมองจะตายอย่างถาวรหลังจากขาดออกซิเจนเพียง 10 นาที

สาเหตุของการสำลัก

การสำลักเกิดจากการที่มีชิ้นส่วนของอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ หลุดเข้าไปติดอยู่เหนือหลอดลม

  • ด้านหลังของปากมีช่องเปิด 2 ช่อง ช่องแรกคือหลอดอาหารซึ่งเป็นทางผ่านของอาหารไปสู่กระเพาะอาหาร  อีกช่องหนึ่งคือหลอดลมที่จะเปิดให้อากาศผ่านไปยังปอด ในขณะที่เรากลืนอาหาร หลอดลมจะถูกปิดด้วยแผ่นปิดที่เรียกว่า epiglottis เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารหลุดเข้าไปในปอด หลอดลมแยกออกเป็นหลอดลมใหญ่ไปทางด้านซ้ายและด้านขวา เพื่อไปสู่ปอดซ้ายและขวา จากนั้นจะกระจายไปทั่วปอดโดยแตกแขนงเป็นท่อขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ

  • เมื่อมีสิ่งหลุดลงไปในทางเดินหายใจจะติดเนื่องจากทางเดินหายใจแคบลง หากวัตถุมีขนาดใหญ่มากจะเข้าไปติดอยู่ภายในหลอดลมที่กล่องเสียง

    Choking

ในผู้ใหญ่ อาการสำลักมักเกิดขึ้นเมื่อเคี้ยวอาหารอย่างไม่ถูกต้อง เช่น พูด หรือหัวเราะในขณะที่กินอาหารทำให้มีเศษอาหาร “ตกลงผิดท่อ” กลไกการกลืนตามปกติอาจช้าลงหากดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพยา หรือมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคพาร์กินสัน

  • ในคนผู้สูงอายุปัจจัยเสี่ยงของการสำลัก ได้แก่ อายุที่มากขึ้น ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม และการบริโภคแอลกอฮอล์

  • ในเด็ก  การสำลักมักเกิดขึ้นเพราะเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พยายามกินอาหารชิ้นใหญ่เกินไป หรือกินอาหารมากเกินไปในคำเดียว หรือกินขนมแข็ง นอกจากนี้ เด็กๆ ยังเอาสิ่งของชิ้นเล็กๆ เข้าปากซึ่งอาจทำให้ติดอยู่ในลำคอได้ เช่น ถั่ว หมุด หินอ่อน หรือเหรียญ ทำให้เกิดอันตรายจากการสำลัก

อาการ และสัญญานของการสำลัก

หากผู้ใหญ่สำลักอาจสังเกตเห็นพฤติกรรมต่อไปนี้

  • ไอหรือปิดปาก

  • ส่งสัญญาณมือและแสดงความตื่นตระหนก (บางครั้งชี้ไปที่ลำคอ)

  • ไม่สามารถพูดคุยได้อย่างกะทันหัน

  • การกำคอ การตอบสนองตามธรรมชาติต่อการสำลักคือการจับคอด้วยมือเดียวหรือทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกอาการสำลักสากลและเป็นวิธีบอกคนรอบข้างว่ากำลังสำลัก

  • หายใจไม่ออก

  • สลบ

  • หน้าเขียว: อาการตัวเขียว, สีฟ้าที่ผิวหนังจะปรากฏให้เห็นได้เร็วที่สุดที่บริเวณใบหน้า ริมฝีปาก และฐานเล็บ แต่สัญญานการสำลักที่สำคัญอื่นๆ อาจปรากฏให้เห็นก่อนอาการนี้

  • หากทารกสำลักต้องใส่ใจต่อทารกให้มากขึ้น เนื่องจากทารกไม่สามารถสื่อสารเครื่องหมายการสำลักสากลได้

    • หายใจลำบาก

    • ร้องไห้แผ่ว ไออย่างอ่อนแรง หรือทั้ง2 อย่าง

ข้อแนะนำสำหรับการปฐมพยาบาลผู้มีอาการสำลัก

  1. โทร 1669

  2. ให้ผู้ป่วยยินยอมรับการรักษา

  3. โน้มตัวผู้ป่วยไปข้างหน้าและตบหลังด้วยอุ้งมือ  5 ครั้ง

  4. รัดกระตุกหน้าท้องเร็วๆ 5 ครั้ง

(หมายเหตุ: คุณสามารถรัดกระตุกหน้าท้องตัวเองได้โดยใช้มือของคุณเช่นเดียวกับที่คุณทำกับบุคคลอื่นหรือเอนตัวไปแล้วกดหน้าท้องของคุณกับวัตถุที่มั่นคงเช่นด้านหลังของเก้าอี้)

  1. ทำการตบหลังด้วยอุ้งมือสลับกับการรัดกระตุกหน้าท้องต่อไปจนกระทั่ง

  • สิ่งแปลกปลอมที่กีดขวางทางเดินหายใจหลุดออกมา

  • ผู้ป่วยสามารถหายใจหรือไอแรง ๆ ได้

  • ผู้ป่วยหมดสติ

สิ่งที่ต้องทำต่อ: หากผู้ป่วยหมดสติให้โทรไปที่ 1669  แล้วให้การช่วยเหลือผู้ใหญ่ที่สำลักจนหมดสติ ตามขั้นตอนด้านล่างนี้

สภากาชาดอเมริกันให้คำแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่สำลักหมดสติ ดังนี้

  1. พยายามช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ (ถ้าเป็นไปได้ให้ป้องกันด้วยการใช้ หน้ากากช่วยชีวิต หรือกระจังป้องกันใบหน้า(face shield)   สภากาชาดอเมริกันแนะนำว่าไม่ควรรออุปกรณณ์ช่วยการหายใจ เนื่องจากอาจไม่มีที่ปิดกั้นหรือไม่ทราบวิธีใช้

การช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ

  1. เอียงศีรษะ ยกคาง จากนั้นบีบปิดปลายจมูก

  2. หายใจเข้าแล้วหายใจประกบกับปากของป่วย

  3. เป่าลมเข้าไปเพื่อทำให้หน้าอกยกสูงขึ้น

(เคล็ดลับ: การช่วยหายใจแต่ละครั้ง ควรใช้เวลาประมาณ 1 วินาที)

  1. หากลมหายใจยังไม่เข้า ให้เอียงศีรษะไปด้านหลังมากขึ้น แล้วลองช่วยหายใจอีกครั้ง

  2. หากหน้าอกไม่ยกขึ้น ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง (เคล็ดลับ: ถอดสิ่งกีดขวางการหายใจออกเมื่อทำการกดหน้าอก)

วิธีกดหน้าอก

  1. วางมือสองข้างตรงกลางหน้าอก (ที่ครึ่งล่างของกระดูกอก)

  2. กดหน้าอกลงไป 1.5- 2 นิ้ว

  3. กด 30 ครั้งในเวลา 18 วินาที (100 ครั้งภายใน 1 นาที)

  4. มองหาสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในทางเดินหายใจ

  5. หากพบสิ่งแปลกปลอม ให้นำออก

  6. พยายามช่วยหายใจ

  7. ทำซ้ำๆ จนกว่าหน่วยแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง หรือจนกว่าสิ่งที่กีดขวางทางเดินหายใจจะหลุดออกมา และผู้ป่วยสามารถหายใจเองได้

สภากาชาดอเมริกันได้ให้แนวทางสำหรับการรักษาการสำลักในทารก หรือทารกอายุ 1 ปีหรือต่ำกว่า ด้วยวิธีที่คล้ายคลึงกับแนวทางที่กล่าวไว้ข้างต้นสำหรับสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา

การดูแลผู้มีอาการสำลัก

  • การรักษาผู้สำลักที่ตัวเริ่มเขียวหรือหยุดหายใจจะแตกต่างกันไปตามอายุของผู้ป่วย ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปีใช้วิธีรัดกระตุกหน้าท้อง (เดิมเรียกว่า “การรัดกระตุกหน้าอก ; Heimlich maneuver”) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไอซึ่งอาจแรงมากพอที่จะผลักให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้

  • การรัดกระตุกหน้าท้องขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ในยกกะบังลมขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ช่องอกเล็กลง ช่องท้องทำให้กะบังลมขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ช่องอกเล็กลง มีผลให้เกิดการบีบอัดของปอดดันลมออกอย่างรวดเร็ว ดันเอาสิ่งแปลกปลอมที่ทำเกิดการสำลักหลุดออกมากับลม

วิธีรัดกระตุกหน้าท้อง

  • ผู้ช่วยเหลือเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของผู้ป่วย โน้มตัวผู้ป่วยไปข้างหน้าเล็กน้อย กำหมัดด้วยมือเดียว โอบแขนรอบตัวผู้ป่วย โดยใช้มืออีกข้างจับกำปั้นไว้ที่กึ่งกลางใต้ซี่โครง กดมือเข้าข้างในแล้วกระตุกมือขึ้นด้านบนอย่างหนักและรวดเร็ว เพื่อพยายามช่วยผู้ป่วยไอ ควรทำซ้ำๆ จนกว่าผู้ป่วยจะสามารถหายใจได้เอง หรือหมดสติไป

  • หากผู้ป่วยหมดสติ ให้ค่อย ๆ วางตัวผู้ป่วยโดยให้นอนราบกับพื้น หากต้องการเคลียร์ทางเดินหายใจให้คุกเข่าลงข้างตัวผู้ป่วยแล้ว วางอุ้งมือแนบใต้ซี่โครงตรงกลางท้อง วางมืออีกข้างไว้ด้านบนแล้วกดเข้าด้านในจากนั้นดันมือทั้ง 2 ข้าง ขึ้น 5 ครั้ง หากทางเดินหายใจโล่งและผู้ป่วยยังไม่ตอบสนองให้เริ่มทำ CPR

สำหรับทารก (อายุน้อยกว่า 1 ปี) ตัวเด็กจะมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับการช่วยเหลือด้วยวิธีรัดกระตุกหน้าท้อง  ควรอุ้มทารกขึ้นมาแล้วตบหลัง 5 ครั้ง ตามด้วยการกดหน้าอก 5 ครั้ง ควรอุ้มทารกด้วยความระมัดระวัง โดยให้ศีรษะต่ำลงเพื่อให้แรงโน้มถ่วงช่วยทำให้ทางเดินหายใจโล่ง และต้องระมัดระวังในการหนุนศีรษะของทารกด้วย หากทารกตัวเขียวหรือตัวคล้ำลง หรือไม่ตอบสนอง ควรทำ CPR

เมื่อพบเห็นคนสำลักและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำ ให้รีบโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที คุณอาจสามารถช่วยหยุดการสำลักได้สำเร็จโดยใช้เทคนิคที่กล่าวมาแล้วก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง แต่การให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินประเมินอาการของผู้สำลักเมื่อมาถึงคือวิธีที่ดีที่สุด หากมีสิ่งใดติดอยู่ในลำคอทีมแพทย์ฉุกเฉินสามารถดูแลได้ทันทีและนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาต่อไป

รูปแบบของการรัดกระตุกหน้าท้องสำหรับสถานการณ์พิเศษ

  • ผู้ป่วยนั่งอยู่: อาจทำการรัดกระตุกหน้าท้องโดยให้เหยื่อนั่ง ในกรณีนี้ด้านหลังของเก้าอี้จะทำหน้าที่เป็นที่รองรับตัวผู้ป่วย ผู้ช่วยชีวิตยังคงโอบแขนรอบตัวผู้ป่วยและทำตามขั้นตอนที่อธิบายไว้ข้างต้น ผู้ช่วยชีวิตมักต้องคุกเข่าลง ในกรณีที่ด้านหลังของเก้าอี้อยู่สูงเกินไป ให้ผู้ป่วยยืนขึ้นหรือหมุนตัว 90 องศาเพื่อให้ด้านหลังของเก้าอี้อยู่ด้านใดด้านหนึ่งของผู้ป่วย

  • สำหรับผู้ช่วยชีวิตที่มีรูปร่างเล็กและผู้ป่วยมีรูปร่างใหญ่กว่า โดยเฉพาะกรณีที่เด็กช่วยชีวิตผู้ใหญ่: แทนที่จะยืนอยู่ข้างหลังผู้ป่วย ให้จัดท่าสำหรับการช่วยเหลือโดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย ผู้ช่วยเหลือคร่อมเอวของผู้ป่วยไว้  วางมือข้างหนึ่งไว้ที่ท้องโดยให้อยู่กึ่งกลางระหว่างสะดือและขอบกระดูกหน้าอก ดันเข้าด้านในและกระตุกมือขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่ใช้ในคนหมดสติ

หากคุณกำลังสำลักและอยู่คนเดียว: คุณอาจรัดกระตุกท้องเองได้ โดยเลือกทำได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจาก 2 วิธีนี้

  • คุณสามารถรัดกระตุกท้อง “ตัวเอง” ด้วยมือของคุณเอง โดยการวางตำแหน่งมือของคุณในลักษณะเดียวกับที่คุณกำลังทำการช่วยเหลือคนอื่น และส่งแรงดันเข้าข้างในและกระตุกมือขึ้นด้านบน

  • อีกวิธีหนึ่งคือ การงอท้องเหนือวัตถุที่มั่นคง เช่น หลังเก้าอี้ แล้วดันเพื่อกดตัวเองเข้าไปในวัตถุนั้น

  • คุณอาจหมดสติก่อนที่จะสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา และก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง ในชุมชนส่วนใหญ่มักมีระบบช่วยเหลือของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน(สพฉ.) ที่เรียกว่า สายด่วน 1669 เมื่อใดก็ตามที่มีการโทรผ่าน 1669  ไปยังศูนย์จัดส่งผู้มอบหมายงาน จะแสดงหมายเลขโทรศัพท์ ตำแหน่งของผู้ใช้โทรศัพท์ และเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ของสายเรียกเข้า ซึ่งช่วยระบุตำแหน่งที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้สามารถตรวจสอบการโทรศัพท์ได้

  • กดหมายเลข 1669 และเปิดสายการสนทนาโทรศัพท์ทิ้งไว้ใน การปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยจะมาถึงในกรณีที่การกระตุกรัดท้อง “ตัวเอง” เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมานั้นล้มเหลวและคุณหมดสติไปก่อน หากผู้มอบหมายงานเพิกเฉยต่อสายสนทนานี้ ต้องมีการตรวจสอบการโทร

  • ตรวจสอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่ และหาคำตอบว่าศูนย์จัดส่ง 1669 ในพื้นที่ของคุณปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้หรือไม่ หากคุณอาศัยอยู่ในชุมชนที่ไม่มีระบบสายด่วน 1669  ให้ตรวจสอบหมายเลขฉุกเฉินและการปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้กับหน่วยงานตำรวจท้องที่

ผู้ที่ตั้งครรภ์ / เป็นโรคอ้วน: การรัดกระตุกท้องอาจไม่ได้ผลในผู้ที่มีครรภ์แก่ใกล้คลอดหรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน ในกรณีนี้สามารถใช้วิธีกดหน้าอกได้ สำหรับผู้มีสตินั่งหรือยืนได้ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • วางมือไว้ใต้รักแร้ของผู้ป่วย

  • โอบแขนรอบหน้าอกของผู้ป่วย

  • วางนิ้วหัวแม่มือของกำปั้นไว้ตรงกลางกระดูกหน้าอก

  • จับกำปั้นด้วยมืออีกข้างแล้วดันไปข้างหลัง ทำเช่นนี้ต่อเนื่องจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา หรือจนกว่าผู้ป่วยจะหมดสติ

สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวหรือเป็นโรคอ้วน ลำดับเหตุการณ์จะเหมือนกับการช่วยชีวิตผู้ใหญ่ที่หมดสติ มีการรัดกระตุกหน้าอกแทนการรัดกระตุกท้อง ในการวางตำแหน่งตัวเองสำหรับการกระตุกหน้าอกให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • คุกเข่าลงข้างตัวของผู้ป่วย

  • เลื่อนสองนิ้วขึ้นที่ขอบด้านล่างของโครงกระดูกซี่โครงจนกระทั่งถึงขอบด้านล่างของกระดูกหน้าอกที่เรียกว่า ลิ้นปี่

  • ในขณะที่วางสองนิ้วบนลิ้นปี่ ให้วางมืออีกข้างบนกระดูกหน้าอกเหนือนิ้วมือ เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาควรออกแรงกระตุกอย่างแงและรวดเร็ว

  • ควรความระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อน เช่น กระดูกซี่โครงหัก และความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ ที่อาจเกิดขึ้นจากการรัดกระตุกหน้าอก

  • ถ้าเป็นไปได้ ในหญิงตั้งครรภ์ควรทำการรัดกระตุกท้องที่กะบังลม(ใต้ชายโครง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังมีพื้นที่ว่างระหว่างมดลูกและทารกที่โตขึ้นกับโครงกระดูกซี่โครง และทำการรัดกระตุกโครงกระดูกซี่โครง

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *