ชื่อทางการค้า: CIPRO
ชื่อสามัญ: CIPROFLOXACIN
วิธีใช้
ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่หลากหลาย โดยเป็นยาปฏิชีวนะที่ถูกจำแนกให้อยู่ในกลุ่ม quinolone ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งใช้รักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียเท่านั้น ฉะนั้นใช้ยาดังกล่าวเมื่อจำเป็น มิเช่นนั้นอาจก่อให้เกิดการดื้อยาในอนาคตได้
- อ่านฉลากยาให้ดีก่อนใช้ยา หรือหากไม่แน่ใจสามารถสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการเริ่มรับประทานได้
- สามารถทานยาขณะท้องว่าง หรือทานพร้อมอาหารได้ โดยปกติมักรับประทาน 2 ครั้งต่อวัน ห่างกัน 12 ชม.
- ยาชนิดน้ำอาจต้องเขย่ายาให้เข้ากัน ประมาณ 15 วินาที ก่อนรับประทานและควรใช้ช้อนยาในการตวงยา
- ไม่ควรเคี้ยว หรือบดยา
- ไม่ควรให้ยาทางสายให้อาหาร เนื่องจากตัวยาอาจทำให้สายอุดตันได้
- ขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับภาวะของโรคและการตอบสนองต่อการรักษา
- ดื่มน้ำตามให้มากๆ ยกเว้นแพทย์สั่ง
- รับประทานยาไซโปรฟลอกซาซินห่างจากยาอื่นอย่างน้อย 2 ชม.เพื่อประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ เช่น Quinapril, Sevelamer, Sucralfate, วิตามินและเกลือแร่(โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธาตุเหล็กและสังกะสี)และผลิตภัณที่มีส่วนประกอบของแมกนีเซียม, อะลูมิเนียมหรือแคลเซียม (เช่น ยาลดกรด, สารละลายไดดาโนซีน, แคลเซียมเสริม)
- อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม หรือนมผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง โดยสิ่งเหล่านี้จะไปลดการออกฤทธิ์ของยาไซโปรฟลอกซาซิน ดังนั้นควรรับประทานยาไซโปรฟลอกซาซินห่างจากยาเหล่านี้อย่างน้อย 2 ชม.
- เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรรับประทานยาปฏิชีวนะในเวลาเดียวกันของทุกๆวัน เพื่อไม่เกิดการลืมยา และรับประทานตามที่แพทย์สั่งจนหมด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม ห้ามหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
ผลข้างเคียง
- คลื่นไส้
- ท้องเสีย
- เวียนศีรษะ
- มึนศีรษะ
- ปวดศีรษะ
- นอนหลับยาก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยาที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
ในการจ่ายยาแพทย์ได้พิจารณาถึงข้อดีข้อเสียที่เกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้นหากแพทย์สั่งยาให้คุณแสดงว่าต้องมีข้อดีมากกว่าผลข้างเคียงอย่างแน่นอน ซึ่งผู้ใช้ยาส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเกิดผลข้างเคียงจากยาไซโปรฟลอกซาซินที่รุนแรง
รีบแจ้งแพทย์หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ได้แก่
- เกิดรอยฟกช้ำ หรือเลือดออกผิดปกติ
- มีสัญญาณของการติดเชื้อใหม่ เช่น เป็นไข้บ่อยครั้ง เจ็บคอบ่อยครั้ง
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนไป ปัสสาวะมีสีแดง หรือสีน้ำล้างเนื้อ
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น อาการเหนื่อยง่าย ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง ตัวตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
- รีบไปพบแพทย์หากเกิดภาวะดังกล่าวข้างต้น รวมไปถึงอาการเวียนศีรษะรุนแรง, อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว อาการเจ็บที่กลางหน้าออกทะลุไปที่หลัง ซึ่งเป็นสัญญาณของการบากเจ็บหรือเกิดการแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ Aorta
- ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจเกิดปัญหาต่อลำไส้เล็กที่รุนแรง ซึ่งพบได้น้อยที่เรียกว่า Clostridium difficile-associated diarrhea โดยภาวะดังกล่าวอาจเกิดระหว่างหรือหลังจากที่หยุดยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน อาการได้แก่ ท้องเสียบ่อยครั้ง ปวดท้อง ถ่ายเป็นมูกเลือด ไม่ควรใช้ยาแก้ท้องเสีย หรือยาแก้ปวดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากตัวยาอาจทำให้อาการแย่ลง
- หากใช้ยานานเกินไปอาจนำไปสู่การเกิดแผลในช่องปาก หรือการติดเชื้อรา ควรไปพบแพทย์หากสังเกตพบแผ่นฝ้าขาวในช่องปาก, เกิดการตกขาวผิดปกติ หรือเกิดอาการใหม่ๆขึ้นมา
- การแพ้รุนแรงต่อยาไซโปรฟลอกซาซิน พบได้น้อยมาก แต่กระนั้นก็ควรสังเกตอาการของคุณเอง โดยการแพ้ยาอย่างรุนแรง ได้แก่ มีผื่น, เกิดอาการคัน/บวม (โดยเฉพาะใบหน้า, ลิ้น, ภายในลำคอ), เวียนศีรษะรุนแรง, หายใจลำบาก
ทั้งหมดยังไม่ใช่ผลข้างเคียงทั้งหมดของยา หากคุณมีอาการที่ไม่ได้อยู่ตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
ข้อควรระวัง
- หากคุณมีประวัติแพ้ยาไซโปรฟลอกซาซิน หรือยาปฏิชีวนะในกลุ่ม quinolone ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนทุกครั้ง ยาในกลุ่ม Quinolone ได้แก่ Norfloxacin, Gemifloxacin, Levofloxacin, Moxifloxacin หรือ Ofloxacin
- หากคุณมีประวัติทางการแพทย์ที่กำลังใช้ยารักษาโรคเบาหวาน, มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น หัวใจวาย, ปัญหาเส้นเอ็นและข้อ เช่น เอ็นอักเสบ, bursitis, โรคไต, โรคตับ, ความผิดปกติทางอารมณ์ เช่นโรคซึมเศร้า, โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (myasthenia gravis), ปัญหาทางระบบประสาท เช่น ระบบประสาทส่วนปลาย, ภาวะชัก, สภาวะที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการชัก (เช่น การบาดเจ็บทางสมอง, เนื้องอกในสมอง, เส้นเลือดในสมองขาดความยืดหยุ่น:cerebral atherosclerosis), ปัญหาหลอดเลือด(เช่น หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง หรืออุดตัน), ปัญหาความดันโลหิตสูง, โรคทางพันธุกรรม(เช่น Marfan syndrome, Ehlers-Danlos syndrome)
- ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ (QT prolongation) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงแต่พบได้น้อย โดยความเร็วและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติไป ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ, เป็นลมได้ ควรแจ้งแพทย์ทราบโดยเร็วเพราะเป็นภาวะคุมคามชีวิต
- ระดับโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดสูง เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด QT prolongation หรือการรับประทานยาขับปัสสาวะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของภาวะดังกล่าว
- ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ฉะนั้นหากกำลังใช้ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจต้องหมั่นตรวจค่าน้ำตาลในเลือดและรายงานให้แพทย์ทราบ รวมไปถึงเฝ้าระวังอาการกระหายน้ำ หรือปัสสาวะบ่อย ซึ่งเป็นอาการเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ยาไซโปรฟลอกซาซินเพิ่มประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อทานคู่กับ Glyburide โดยอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำได้แก่ เหงื่อออกกระทันหัน, มือสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, หิวข้าว, ตาพร่ามัว, เวียนศีรษะ หรือหมดสติ การแก้ไขคือการให้ทานน้ำตาลโดยเร็ว เช่น น้ำเชื่อม, น้ำผึ้ง, ลูกอม หรือน้ำผลไม้ปราศจากโซดา และรีบแจ้งแพทย์ถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันการเป็นซ้ำ ฉะนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดไม่ควรอดอาหาร หรือแพทย์อาจสลับเวลาในการให้ยาเพื่อป้องกันอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ การดื่มแอลกอฮอร์หรือกัญชายิ่งทำให้เวียนศีรษะมากขึ้น ฉะนั้นไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ หรือกิจกรรมที่ต้องให้สมาธิจดจ่อ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง
- ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดด ควรสวมเสื้อผ้ามิดชิดเมื่อออกกลางแดด หรือทาครีมกันแดดเมื่อออกนอกบ้าน
- การใช้ยาไซโปรฟลอกซาซินร่วมกับการรับวัคซีนเชื้อเป็น เช่น วัคซีนไทฟอยด์ ตัวยาอาจทำให้วัคซีนออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนหรือการรับภูมิคุ้มกันขณะใช้ยาไซโปรฟลอกซาซิน
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าคุณกำลังรักษาด้วยยาไซโปรฟลอกซาซิน รวมไปถึงยาอื่นๆที่กำลังรับประทาน
- ยาไซโปรฟลอกซาซินประกอบไปด้วยน้ำตาลซูโครส ซึ่งไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีภาวะเมตาบอริซึม เช่น ผู้ที่แพ้ฟรุกโตส, Sucrase-isomaltase deficiency, Glucose-galactose malabsorption
- ในเด็กอาจไวต่อการเกิดผลข้างเคียงของยาไซโปรฟลอกซาซิน โดยเฉพาะปัญหาเส้นเอ็นและข้อต่อ
- ในผู้สูงอายุยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเส้นเอ็นและข้อต่อ โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้ยาคอติโคสเตียรอยด์ เช่น Prednisone หรือ Hydrocortisone เสี่ยงต่อQT prolongation, เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพองหรือแตกกระทันหัน
- ในหญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์
- ยาไซโปรฟลอกซาซินสามารถผ่านน้ำนมได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
ปฏิกิริยาต่อกันของยา
การใช้ยาไซโปรฟลอกซาซินรวมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Acenocoumarol, Warfarin และ Strontium
มียาหลายตัวที่เมื่อใช้ร่วมกับยาไซโปรฟลอกซาซินแล้วยิ่งทำให้เกิด QT prolongation ได้แก่ Amiodarone, Dofetilide, Quinidine, Procainamide, Sotalol เป็นต้น
ยาไซโปรฟลอกซาซินเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นอาจทำให้ค่าครึ่งชีวิตของยาอื่นยาวนานขึ้น ได้แก่ Duloxetine, Flibanserin, Lomitapide, Pirfenidone, Tasimelteon, Tizanidine เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน, ช๊อกโกแลต หรือตัวยาอื่นๆที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เนื่องจากอาจเสริมฤทธิ์ของคาเฟอีนยิ่งขึ้น
การใช้ยาเกินขนาด
หากคุณใช้ยาเกินขนาดจนเกิดอาการที่รุนแรง เช่น หายใจลำบาก ให้รีบโทร 1669 หรือศูนย์พิษวิทยาในพื้นที่เพื่อขอความช่วยเหลือ
หมายเหตุ
- ไม่ควรแบ่งยาให้แก่ผู้อื่น
- ขนาดยาที่แพทย์ส่ง ใช้รักษาอาการของคุณขณะนั้นโดยเฉพาะ จึงไม่ควรใช้ยาตามเดิมเมื่อเกิดการติดเชื้อในอนาคต ควรปรึกษาแพทย์ใหม่ทุกครั้ง
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจหน้าที่ของไต, การตรวจนับเม็ดเลือด ควรได้รับการตรวจและติดตามโดยแพทย์ขณะทำการรักษา
- ไม่ควรเปลี่ยนยี่ห้อของยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากยาแต่ละยี่ห้อมีผลข้างเคียงที่ไม่เหมือนกัน
การลืมยา
หากคุณลืมทานยา ให้ทานเมื่อนึกขึ้นได้ หากใกล้เวลายามื้อถัดไป(ใกล้น้อยกว่า 6 ชม.) ให้ข้ามไปทานยามื้อถัดไปตามเวลาได้เลยโดยไม่ต้องทานยาเพิ่มเป็นสองเท่า
การเก็บรักษา
- หากยาอยู่ในรูปผงก่อนผสมสารละลาย สามารถเก็บไว้ในที่อุณหภูมิห้องได้ แต่เมื่อผสมไปแล้วให้เก็บไว้ในตู้เย็นหรือที่อุณหภูมิห้องได้ไม่เกิน 14 วันหลังจากที่ผสม ห้ามแช่แข็ง
- เก็บยาให้ไกลมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- ไม่ควรใช้ยาอีกหากรับประทานยาครบตามแผนการรักษาแล้ว
- ไม่ควรทิ้งยาในสุขภัณฑ์หรือท่อระบายน้ำ สามารถสอบถามเภสัชกรถึงวิธีการกำจัดยาอย่างถูกวิธี รวมไปถึงควรปฏิเสธยาที่มีบรรจุภัณฑ์ชำรุดหรือยาหมดอายุ
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก