โรคโครห์น (Crohn’s Disease) คือโรคที่เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือระยะเวลานานของระบบทางเดินอาหาร เป็นโรคในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบชนิดหนึ่ง โรคโครห์นทำให้เกิดอาการปวดท้อง อ่อนเพลียและในบางครั้งอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคโครห์นหรือโรคลำไส้อักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของลำไส้ นับตั้งแต่ปากเรื่อยไปจนถึงทวารหนัก แต่ที่พบว่ามีผลกระทบบ่อยคือบริเวณลำไส้เล็กส่วนล่าง-ลำไส้เล็กส่วนปลาย
ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตัว มีแผลในลำไส้ และปวดท้อง
พบผู้ป่วยโรคโครห์น 26-199 รายจาก100,000ราย และพบได้ในช่วงวัยระหว่าง 15-40 ปี สามารถเริ่มมีอาการได้ทุกช่วงอายุ
สาเหตุของโรคโครห์น
สาเหตุที่แท้จริงในการเกิดโรคโครห์นยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาผิดปกติในระบบภูมิต้านทาน
ด้วยทฤษฎีดังกล่าวคือระบบภูมิต้านทานโจมตีอาหาร, แบคทีเรียที่ดีและสสารที่มีประโยชน์ราวกับเป็นสสารที่ไม่มีความต้องการ
ในระหว่างการโจมตีนั่น เม็ดเลือกขาวจะถูกสร้างขึ้นในเนื้อเยื่อของลำไส้ และไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้น การอักเสบนี้เองทำให้ลำไส้เป็นแผลและได้รับบาดเจ็บ
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดว่าโรคโครห์นเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
ยังมีปัจจัยอื่นๆที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการอักเสบได้เช่นกัน เช่น:
- ปัจจัยจากเรื่องยีนส์
- ระบบภูมิคุ้มกันเฉพาะคน
- ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม
พบว่าราว 3- 20 คนที่เป็นโรคโครห์นมีญาติใกล้ชิดเป็นโรคดังกล่าวด้วย หากคู่แฝดคนใดคนหนึ่งเป็นโรคโครห์น แฝดอีกคนมีโอกาส 70 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นโรคด้วย
เชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสอาจมีบทบาทต่อการเกิดโรคโครห์นได้เช่นกัน
การสูบบุหรี่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงอีกแบบหนึ่ง
อาการของโรคโครห์น
อาการของโรคโครห์นมีหลายอาการขึ้นอยู่ว่ามีผลกระทบกับลำไส้ส่วนใด อาการทั่วไปที่พบเห็นได้บ่อยๆคือ:
- อาการปวด: ระดับอาการปวดขึ้นอยู่กับบริเวณลำไส้ส่วนใดที่มีการอักเสบ โดยทั่วไปมักพบว่ามีอาการปวดที่บริเวณช่วงท้องล่างขวา
- การเกิดแผลที่ลำไส้: เมื่อเกิดแผลขึ้นที่ลำไส้ใหม่ๆอาจมีเลือดออกได้ ผู้ป่วยอาจสังเกตว่ามีเลือดติดมาพร้อมกับอุจจาระ
- ปากเป็นแผล: เป็นอาการที่พบได้ทั่วไป
- ท้องเสีย: มีตั้งแต่ท้องเสียน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรง บางครั้งอาจถ่ายเป็นมูก มีเลือดหรือหนอง ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดอยากเข้าห้องน้ำถ่ายแต่ไม่มีอะไรออกมา
- เหนื่อยล้า: ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียมาก อาจมีไข้ขึ้นร่วมในระหว่างอ่อนเพลียได้
- ความอยากอาหารเปลี่ยนไป: ความอยากอาหารอาจลดลง
- น้ำหนักลด: เป็นผลมาจากความไม่อยากอาหาร
- โลหิตจาง: การสูญเสียเลือดเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง
- มีเลือดออกและเกิดแผลที่ทวารหนัก: เนื่องจากผิวบริเวณทวารหนักปริแตกทำให้เกิดอาการเจ็บและมีเลือดออก
อาการอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้:
- ข้ออักเสบ
- ภาวะม่านตาอักเสบ
- ผิวหนังมีผื่นขึ้นและมีการอักเสบ
- ตับหรือท่อน้ำดีในตับมีการอักเสบ
- มีภาวะการเจริญเติบโตหรือมีการพัฒนาทางเพศช้าในเด็ก
โรคลำไส้อักเสบกับโรคโครห์น
โรคลำไส้อักเสบมีสาเหตุมาจากการอักเสบและการเกิดแผลที่เนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่ชั้นบนสุดในขณะที่โรคโครห์นเกิดการอักเสบและมีแผลได้ในทุกชั้นทุกส่วนของลำไส้
ดังนั้นการอักเสบที่ทำให้เกิดโรคโครห์นจึงสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆส่วนของลำไส้ แต่โรคลำไส้อักเสบมักเกิดขึ้นเฉพาะในลำไส้ใหญ่เท่านั้น
ลำไส้ของผู้ป่วยโรคโครห์นสามารถมีบางช่วงที่มีสภาพปกติดีอยู่ในระหว่างส่วนที่เป็นโรคได้ ในขณะที่โรคลำไส้อักเสบลำไส้จะเกิดการเสียหายแบบติดต่อกันไปเรื่อยๆ
โภชนาการ
เด็กที่เป็นโรคโครห์นอาจมีความต้องการอาหารเหลวสูตรแคลลอรี่สูง โดยเฉพาะในรายที่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคโครห์นควรรู้ว่าอาหารดังต่อไปนี้อาจทำให้อาการท้องเสียและปวดท้องเพิ่มมากขึ้นได้เช่น:
- ผลิตภัณฑ์นม
- อาหารรสเผ็ด
- แอลกอฮอล์
ในผู้ป่วยบางรายอาจทานอะไรไม่ลง ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจมีความจำเป็นต้องให้สารอาหารทางเส้นเลือดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
การรักษาโรคโครห์น
การรักษามีทั้งการรักษาด้วยยา การผ่าตัดและการให้อาหารเสริม
เป้าหมายหลักของการรักษาคือการควบคุมการอักเสบ, แก้ไขปัญหาทางโภชนาการให้ถูกต้องและบรรเทาอาการ
โรคโครห์นไม่ทางแก้ได้แต่การรักษาสามารถช่วยลดการกลับมาเกิดอาการซ้ำอีกครั้งได้
การรักษาโรคโครห์นขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้:
- บริเวณที่เกิดการอักเสบเกิด
- ภาวะความรุนแรงของโรค
- ภาวะแทรกซ้อน
- การตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย
ในบางรายอาจเป็นโรคโครห์นอยู่เป็นระยะเวลานาน อาจนานหลายปีโดยไม่มีอาการใดๆ เราเรียกว่าว่าการไม่มีอาการของโรค แต่อย่างไรก็ดีโรคนี้ก็จะกลับมาเป็นใหม่อีกครั้งเสมอ
ช่วงระยะไม่มีอาการของโรคนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งยากต่อการรักษาให้ได้ผล เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ในการคาดการณ์ว่าโรคจะสงบอยู่ได้นานมากน้อยแค่ไหน
ยาสำหรับรักษาโรคโครห์น
- ยาแก้อักเสบ- แพทย์มักจ่ายยาเช่น ยาเมซาลามีน (ซัลฟาซาลาซีน) เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบ
- ยาคอร์ติโซนหรือสเตียรอยด์-ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์คือยาที่มีคอร์ติโซนหรือสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบ
- ยาปฏิชีวนะ– โรคฝีคัณฑสูตรที่อาจมีสาเหตุมาจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของแบคทีเรีย แพทย์อาจจะรักษาด้วยยาแอมพิซิลลิน, ซัลโฟนาไมด์, เซฟาโลสปอริน, เตตราไซคลีนหรือเมโทรนิดาโซล.
- ยาแก้ท้องเสียและการทดแทนของเหลว-เมื่อการอักเสบลดน้อยลง ปัญหาเรื่องการถ่ายท้องก็จะลดน้อยลงด้วย แต่ในบางครั้งผู้ป่วยอาจต้องการบางสิ่งเพื่อแก้เรื่องท้องเสียและอาการปวดท้อง
ยาจากสารสกัดชีวภาพ
ยาจากสารสกัดชีวภาพเป็นยารูปแบบใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการพัฒนาขึ้นจากสิ่งมีชีวิต ยาจะไปทำการลดการตอบสนองของระบบภูมิต้านทานร่างกายลงโดยพุ่งเป้าไปที่โปรตีนที่นำไปสู่การอักเสบ
ยาชีววัตถุสามารถช่วยรักษาโรคโครห์นได้ ยกตัวอย่างเช่น
- ยาอินฟลิซีแมบ (Remicade)
- ยาอะดาลิมูแมบ (Humira)
- ยา6-เมอร์แคปโทเพียวรีน (Purinethol)
- ยาเมโธเทรกเซทmethotrexate
- ยาอะซาไธโอพรีน imuran (Azathioprine)
- certolizumab pegol (Cimzia)
การรักษาด้วยยาชีววัตถุอาจส่งผลข้างเคียงได้ เช่นอาเจียน คลื่นไส้และการต้านทานต่อการติดเชื้ออ่อนแอลง
จากการศึกษาพบว่าการนำยาชีววัตถุมาใช้สามารถช่วยลดโอกาสในการผ่าตัดช่องท้องภายใน 10 ปีไปได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
การใช้ยาชีววัตถุสามารถลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ร่วมด้วย
ยาจากสารสกัดชีวภาพมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับต้องการผลอย่างไร แพทย์จะแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสม และลองหาตัวที่ใช้ได้ผลดีอาจใช้ตัวเดียวหรือร่วมกันกับตัวอื่นๆหากตัวแรกใช้ไม่ได้ผล
การผ่าตัด
ผู้ป่วยโรคโครห์นมีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดก็ต่อเมื่อการใช้ยารักษาไม่สามารถควบคุมอาการได้อีกต่อไป จึงเหลือทางเลือกเดียวคือการผ่าตัดเท่านั้น การผ่าตัดสามารถบรรเทาอาการที่ไม่ตอบสนองต่อยารักษาโรคหรือต่อภาวะแทรกซ้อนที่ต้องแก้ไข เช่นฝี, การแตกทะลุ,มีเลือดออก,และการอุดตัน
การตัดเอาลำไส้บางส่วนออกก็สามารถช่วยได้ แต่ไม่ใช่การรักษาโรคโครห์นให้หายขาด เพราะการอักเสบมักจะกลับมาเป็นอีกครั้งในบริเวณติดกับส่วนของลำไส้ที่มีผลกระทบที่โดนเอาออกไป ทำให้ผู้ป่วยโรคโครห์นอาจต้องมีการผ่าตัดมากกว่าหนึ่งครั้ง
ในบางรายอาจต้องมีการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออก ซึ่งนั้นหมายความว่าเอาลำไส้ใหญ่ออกทั้งหมด อาจด้วยการผ่าตัดแผลเล็กที่บริเวณหน้าท้องด้านหน้า เป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อเป็นทางออกของอุจาจาระ โดยมีรูเปิดบริเวณหน้าท้องเรียกว่า stoma แพทย์จะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าคนที่มีถุงติดตัวแบบนี้ก็สามารถใช้ชีวิตและทำกิจกรรมได้ตามปกติ
แต่หากการผ่าตัดสามารถนำลำไส้ส่วนที่เป็นโรคออกและจากนั้นนำมาต่อกับลำไส้ส่วนอื่นได้อีกครั้ง การเปิดใส่ถุงหน้าท้องก็ไม่มีความจำเป็น
ผู้ป่วยและแพทย์จะต้องตัดสินใจเรื่องการผ่าตัดนี้ร่วมกันอย่างระมัดระวัง เพราะไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน
การวินิจฉัย
แพทย์จะซักถามอาการผู้ป่วย และตรวจร่างกายเพื่อคลำหาก้อนในช่องท้องที่อาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบของลำไส้
การตรวจต่อไปนี้จะสามารถช่วยในการวินิจฉัยได้:
- ตรวจเลือดและอุจจาระ
- การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ด้วยกล้องที่มีลักษณะโค้งงอ สั้นๆเข้าไปทางทวารหนักเพื่อสำรวจบริเวณลำไส้ใหญ่
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ด้วยกล้องที่ติดไปกับท่อขนาดเล็ก ผอม ยาวและยืดหยุ่นได้ เพื่อสำรวจสำไส้ใหญ่
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารหากอาการที่เกิดขึ้นอยู่ในบริเวณลำไส้ส่วนบน โดยการสอดใส่สายยางเล็กที่มีเลนส์และแสงไฟ เข้าทางปากผ่านหลอดอาหารเข้าไปดูในช่องท้อง
- การเอกซเรย์ซีทีสแกนหรือการสวนแป้งแบเรียมเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงภายในลำไส้
ภาวะแทรกซ้อน
หากมีอาการรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อย โอกาสในการเกิดภาวะแแทรกซ้อนก็มีมากขึ้นไปด้วย ภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้อาจมีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด:
- มีเลือดออกภายใน
- เกิดการตีบตันทำให้ลำไส้แคบ เป็นสาเหตุให้เกิดแผลเนื้อเยื่อและลำไส้เกิดการอุดตันบางส่วนหรือทั้งหมด
- การทะลุ เมื่อเกิดรูเล็กๆที่ผนังลำไส้จากผนังลำไส้รั่ว เป็นสาเหตุของการติดเชื้อหรือเกิดฝีหนอง
- ฝีคัณฑสูตร
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/crohns-disease/symptoms-causes/syc-20353304
- https://www.nhs.uk/conditions/crohns-disease/
- https://www.healthline.com/health/crohns-disease
- https://www.webmd.com/ibd-crohns-disease/crohns-disease/default.htm
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก