โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cytitis) คือ ประเภทของกระเพาะปัสสาวะที่มีความรุนแรงและเรื้อรังมากกว่า ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคนี้ได้ที่นี่
ข้อเท็จจริงโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย พบได้บ่อยที่สุด
- ในกรณีส่วนใหญ่ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่รุนแรงจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน
- หากมีอาการของโรคนี้มากกว่า 4 วัน ควรปรึกษาแพทย์
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคืออะไร
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักจะเกิดขึ้น เมื่อท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะที่โดยปกติจะปลอดเชื้อ หรือปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย
แบคทีเรียเกาะตัวกับผนังของกระเพาะอาหาร และทำให้บริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองและอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบพบได้ในทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้นกว่า
ประมาณร้อยละ 80 ของภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะทั้งหมดเกิดจากเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
แบคทีเรียเหล่านี้ส่วนใหญ่ก่อให้เกิดจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ แต่เมื่อแบคทีเรียนี้เข้าสู่บริเวณปลอดเชื้อในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ อาจก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นภาวะติดเชื้อในโรงพยาบาล ที่พบบ่อยที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ใช้ท่อสวนปัสสาวะ
อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
สัญญาณและอาการบ่งชี้โรคกระเพาะปัสสาวะที่พบบ่อย ได้แก่:
- มีเลือดในปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีสีคล้ำ ขุ่น และมีกลิ่นแรง
- มีอาการปวดเหนือกระดูกหัวหน่าว ปวดหลังส่วนล่าง หรือปวดในช่องท้อง
- มีอาการปวดแสบปวดร้อน ขณะปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อย หรือรู้สึกอยากปัสสาวะบ่อย
ผู้สูงวัยอาจรู้สึกอ่อนเพลียและมีไข้ แต่ไม่มีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างต้น พวกเขาอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสติสัมปชัญญะ
มีความต้องการปัสสาวะบ่อยๆ แต่ปัสสาวะเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง
เมื่อเด็กๆ เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ พวกเขาอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวไว้ด้านบน ร่วมกับอาการอาเจียนและอาการอ่อนเพลียทั่วไป
อาการเจ็บป่วยหรือภาวะอื่นบางอย่าง มีลักษณะคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ได้แก่:
- ท่อปัสสาวะอักเสบ หรือการอักเสบของท่อปัสสาวะ
- กลุ่มอาการปวดกระเพาะปัสสาวะ
- ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือการอักเสบของต่อมลูกหมาก
- ต่อมลูกหมากโต ในผู้ชาย
- กลุ่มอาการทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
- หนองใน
- หนองในเทียม
- เชื้อราแคนดิดา หรือโรคเชื้อรา
สาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ และกรณีเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการได้รับเชื้อผ่านทางท่อปัสสาวะ เชื้อแบคทีเรียเข้ามาทางโครงสร้างทางเดินปัสสาวะส่วนนอก
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่:
- การใช้ผ้าอนามัยแบบสอด: เมื่อสอดผ้าอนามัยเข้าไป มีความเสี่ยงเล็กน้อยที่เชื้อแบคทีเรียจะเข้ามาทางท่อปัสสาวะ
- การใส่ การเปลี่ยน หรือการใช้สายสวนปัสสาวะติดต่อกันเป็นเวลานาน: มีโอกาสที่สายสวนปัสสาวะจะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในทางเดินปัสสาวะ
- ไดอะแฟรมสำหรับการคุมกำเนิด: ผู้หญิงที่ใช้ไดอะแฟรมร่วมกับยาฆ่าเชื้ออสุจิ มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์และไม่ได้ใช้ไดอะแฟรมในการคุมกำเนิด
- กระเพาะปัสสาวะเต็ม: หากกระเพาะปัสสาวะไม่มีส่วนใดว่างเลย จะทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งค่อนข้างพบได้ทั่วไปในสตรีมีครรภ์ หรือผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโต
- กิจกรรมทางเพศ: ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่เชื้อแบคทีเรียจพเข้ามาทางท่อปัสสาวะ
- การปิดกั้นบางส่วนของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ที่เก็บกักปัสสาวะเอาไว้
- ปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและไต
- การมีเพศสัมพันธ์บ่อย หรือมีเพศสัมพันธ์รุนแรง: เป็นการเพิ่มโอกาสให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย และเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบด้วยเช่นกัน บางครั้งเรียกภาวะนี้ว่า โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากฮันนีมูน
- ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง: ในช่วงภาวะหมดระดู ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง และผนังท่อปัสสาวะของผู้หญิงจะบางลง ยิ่งผนังท่อปัสสาวะบางมากเท่าไร โอกาสในการติดเชื้อและเกิดความเสียหายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หลังจากหมดระดู ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
- เพศ: ช่องปัสสาวะของเพศหญิงอยู่ใกล้ทวารหนักมากกว่าของเพศชาย ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงมากกว่าที่จะติดเชื้อแบคทีเรียจากลำไส้ ที่ผ่านเข้ามาทางท่อปัสสาวะ
- น้ำเมือกลดลง: ในช่วงภาวะหมดระดู ผู้หญิงสร้างน้ำเมือกในช่องคลอดลดลง โดยปกติแล้ว น้ำเมือกนี้ทำหน้าที่เป็นชั้นที่ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรีย
- การบำบัดด้วยรังสี: ความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะอาจก่อให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการฉายรังสีในภายหลัง
ผู้หญิงที่ทำการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (Hormone replacement therapy: HRT) มีความเสี่ยงในการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เมื่อเทียบกับผู้หญิงหมดระดูที่ไม่ได้บำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน อย่างไรก็ตาม HRT ก็มีความเสี่ยงในตัวมันเองเช่นกัน ดังนั้น ไม่ควรใช้วิธีนี้เป็นประจำในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อในผู้หญิงหลังภาวะหมดระดู
วิธีรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กรณีส่วนใหญ่ของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่รุนแรง จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน สำหรับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่มีอาการมากกว่า 4 วัน ควรปรึกษาแพทย์
แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะให้คนไข้ 3 วัน หรือ 7-10 วัน ขึ้นกับอาการของคนไข้ ซึ่งยาควรจะเริ่มบรรเทาอาการภายในหนึ่งวัน
หากอาการไม่ดีขึ้น หลังจากทานยาปฏิชีวนะ คนไข้ควรมาพบแพทย์อีกครั้ง
ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยทั่วไป ได้แก่ ไนโตรฟูแรนโทอิน ไทรเมโทพริม-ซัลฟาเมทอกซาโซล อะม็อกซีซิลลิน เซฟาโลสปอริน ไซโปรฟลอกซาซิน และลีโวฟลอกซาซิน
ตัวอย่างเช่น ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงมากขึ้นในการติดเชื้อไปสู่ไต และเป็นโรคแทรกซ้อนอื่น
ผู้ที่เจ็บป่วยง่ายและสตรีมีครรภ์ควรรับการรักษาในทันที
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cystitis/symptoms-causes/syc-20371306
- https://www.nhs.uk/conditions/cystitis/
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK482435/
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก