อ่อนเพลีย (Fatigue) : อาการ สาเหตุ การรักษา

อ่อนเพลีย (Fatigue) : อาการ สาเหตุ การรักษา

26.12
9701
0

ความอ่อนเพลีย หรือความเหนื่อยล้า (Fatigue) คือ การขาดพลังงาน และแรงจูงใจ (ทั้งทางร่างกายและจิตใจ) ซึ่งแตกต่างจากอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นคำที่อธิบายถึงความจำเป็นในการนอนหลับ บ่อยครั้งที่คน ๆ หนึ่งบ่นว่ารู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน แม้ว่าทั้งสองอย่างอาจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน และอาการเหนื่อยล้าสามารถเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น การหายใจถี่ หอบ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสามารถเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ความเหนื่อยล้าอาจเป็นการตอบสนองตามปกติต่อกิจกรรมทางร่างกายและจิตใจ โดยขึ้นกับความเข้มข้นของกิจกรรมที่ทำ

บ่อยครั้งที่อาการอ่อนเพลียจะค่อยๆ เริ่มมีอาการ และบุคคลนั้นไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตัวเองได้สูญเสียพลังงานไปเท่าไรจนกว่าจะมีการเปรียบเทียบการทำงานที่เคยทำ กับในปัจจุบันว่าต่างกันเท่าไร และคนส่วนมากมักจะคิดว่าเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าโรคซึมเศร้า และปัญหาทางจิตเวชอื่น ๆ อาจเป็นสาเหตุของความเหนื่อยล้า แต่ความเจ็บปวดของร่างกายก็เป็นสาเหตุเช่นกัน

บุคคลที่มีอาการอ่อนเพลียจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

  1. ไม่มีแรงจูงใจ ที่จะริเริ่มทำกิจกรรมได้
  2. เหนื่อยง่ายเมื่อกิจกรรมเริ่มขึ้น 
  3. เหนื่อยล้าทางจิตใจ หรือมีปัญหาในการใช้สมาธิ และกระบวนการคิดที่จะสามารถทำกิจกรรมให้สำเร็จลุล่วง

อาการของความอ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้าเรื้อรังมีดังนี้

  1. ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรังอย่างรุนแรงเป็นเวลามากกว่า 6 เดือน โดยมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วย
  2. ผู้ป่วยแสดงอาการเหล่านี้พร้อมๆ กัน
  • อาการไม่สบายหลังจากมีการออกแรง
  • ความจำหรือสมาธิไม่ดี
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ
  • เจ็บกล้ามเนื้อ
  • ปวดข้อโดยไม่มีการบวมหรือแดง
  • ต่อมน้ำเหลืออักเสบ
  • เจ็บคอ
  • ปวดศีรษะ

และอาจมีอาการต่อไปนี้

  • เซื่องซึม
  • กระสับกระส่าย
  • ขาดพลังงาน
  • เหนื่อย
  • ทรุดโทรม
  • เบื่อหน่าย
  • ไม่สบายตัว
  • รู้สึกเพลีย

Fatigue

สาเหตุของอาการอ่อนเพลีย

สาเหตุของอาการอ่อนเพลียมีมากมาย ตั้งแต่กลุ่มอาการอ่อนเพลียจากการที่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของร่างกายไม่ดี ไปจนถึงความเจ็บป่วยที่ส่งผลต่อการเผาผลาญอาหาร การติดเชื้อ และผู้ที่นอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลียเป็นผลข้างเคียงของยาหลายชนิด ในขณะที่ผู้ป่วยจำนวนมากมักจะรู้สึกว่าอ่อนเพลีย แต่ก็มีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้

อาการนั้นขึ้นกับสาเหตุที่แท้จริง เช่น

  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอดหรือโรคโลหิตจางนั้นจะหอบ หรือเหนื่อยง่ายโดยทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อย
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการปัสสาวะมากเกินไป หรือมีปัญหาการมองเห็น
  • ผู้ป่วยไทรอยด์จะมีอาการผิวแห้ง ผมแตกหัก

สิ่งสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาปัจจัยต่างๆที่ทำให้เหนื่อยล้าอย่างถี่ถ้วน เพื่อวินิจัยหาสาเหตุที่แท้จริง

การรักษาความอ่อนเพลีย

ความเหนื่อยล้าเป็นอาการของภาวะพื้นฐานของร่างกาย ดังนั้นการรักษาจึงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายจิตใจหรือทั้งสองอย่างร่วมกัน

อาจมีช่วงเวลาที่ล่าช้าระหว่างช่วงที่ความเจ็บป่วยได้รับการรักษาและความรุนแรงของอาการอ่อนเพลีย อาการอ่อนเพลียสามารถหายได้เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ผู้ป่วยโรคโลหิตจางจะรู้สึกดีขึ้นมากทันทีที่จำนวนเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ที่ฟื้นตัวจาก mononucleosis ที่ติดเชื้อจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพื่อให้ระดับพลังงานกลับมาเป็นปกติ

การป้องกันความอ่อนเพลีย

ความเหนื่อยล้าเป็นอาการสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นการป้องกันไม่ใช่ปัญหา ที่สำคัญกว่านั้นการรับรู้ถึงความเหนื่อยล้าในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

บางครั้งอาการเหนื่อยล้าจะค่อยๆเกิดขึ้นและเป็นการยากที่บุคคลนั้นจะรู้ตัวว่ากำลังมีปัญหา โดยการป้องกันความอ่อนเพลียทำได้ดังนี้

1. ลดการกินหวาน

น้ำตาลสามารถเร่งให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเครียดได้ แนะนำให้เลี่ยงไปกินน้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผลไม้ 100% หรือกินน้ำผึ้งแท เพื่อร่างกายจะได้ลดความเครียดลงซึ่งเป็นสาเหตุของการอ่อนเพลียเรื้อรัง

2. ลดการกินคาเฟอีน

น้ำชาและกาแฟ คือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอยู่ค่อนข้างมาก หากรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนเพลีย ควรหยุดเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อน เพราะคาเฟอีนมักทำให้เรานอนไม่หลับ ซึ่งการนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้

3. ปิดสิ่งรบกวนก่อนนอน

หยุดเล่นโทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต และควรปิดไฟนอน เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งรบกวนที่ทำให้เรานอนไม่พอ นอนหลับไม่สนิท

4. ทำสมาธิ

การทำสมาธิคือการทำจิตใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่านซึ่งการทำสมาธิจะทำให้เราหลับได้ลึกขึ้น เป็นการนอนหลับได้มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถพักผ่อนได้ ช่วยลดการอ่อนเพลียเรื้อรังได้

5. กินวิตามินเสริมบ้าง

เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกไม่สบายตัว เราอาจเสริมความแข็งแรงให้ร่างกายด้วยการกินวิตามินซีก็ได้ เพราะวิตามินซีช่วยป้องกันหวัด หรืออาจกินวิตามินบีรวมเพื่อช่วยบำรุงระบบต่างๆ ในร่างกายให้กลับมาดีขึ้นก็ได้  อย่างไรก็ตามการเลือกกินวิตามินเสริมในแต่ละครั้งควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ เพราะการวิตามินมากเกินไปหรือกินไม่ถูก แทนที่จะส่งผลดีกลับส่งผลเสียแทนได้

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *