อาการปวดหัวเกิดจากอะไร
อาการปวดหัวหรือปวดศีรษะ (Headaches) คืออาการที่เกิดขึ้นบนศีรษะหรือคอส่วนบน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปที่สามารถเกิดได้กับทุกคน
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการปวดหัวมีดังนี้:
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น เครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- ปัจจัยที่เกี่ยวกับโรคต่างๆ เช่น โรคไมเกรน หรือ โรคความดันโลหิตสูง
- อาการทางกายภาพ เช่น อาการเจ็บปวด
- สภาพแวดล้อม เช่น อากาศที่เปลี่ยนแปลง
อาการปวดหัวที่รุนแรงนั้นสามารถส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิตของคุณได้ การเรียนรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการปวดหัวนั้น สามารถช่วยให้คุณรักษาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
สาเหตุของการปวดหัว
สาเหตุของการปวดหัวสามารถเกิดขึ้นกับส่วนใดของศีรษะก็ได้ การแยกแยะอาการปวดสามารถทำให้แพทย์วินิจฉัยเพื่อช่วยรักษาอาการปวดหัวได้ถูกต้อง
นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถแบ่งอาการปวดหัว โดยดูจากสาเหตุ อาการบาดเจ็บที่มีอยู่ร่วมกันได้อีกด้วย
ประเภทของอาการปวดหัว
อาการปวดหัวนั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งได้แก่:
อาการปวดหัวจากความเครียด
อาการปวดหัวประเภทนี้ มักพบได้บ่อยที่สุดในประเภทของอาการปวดหัวทั้งหมด ซึ่งอาการปวดหัวนี้มักจะเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในแต่ละวันได้
อาการปวดหัวจากความเครียดอาจมีอาการต่อไปนี้:
- มีความรู้สึกเหมือนมียางมารัดศีรษะ
- มีอาการปวดหัวทั้ง 2 ข้าง
- มีอาการปวดลามไปยังต้นคอ
อาการปวดหัวจากความเครียดนั้นมีได้ 2 รูปแบบคือ:
อาการปวดหัวแบบครั้งคราว: อาการนี้เกิดขึ้นได้เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง แต่จะมีอาการปวดหัวได้หลายวัน
อาการปวดหัวแบบเรื้องรัง: อาการปวดหัวเกิดจากความเครียดนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ใน 15 วันหรือมากกว่านั้น หรืออาจเป็นเดือน ซึ่งมีอาการได้นานถึง 3 เดือน
อาการปวดหัวโรคไมเกรน
อาการปวดหัวแบบไมเกรนอาจเกี่ยวข้องกับการเต้นของหัวใจที่เต้นผิดจังหวะและมีอาการปวดสั่น ซึ่งเกิดขึ้นในด้านใดด้านหนึ่งของศีรษะแต่สามารถมีอาการปวดหัวได้ทั้ง 2 ข้าง
ในระหว่างที่มีอาการปวดหัวอยู่ อาจพบว่ามีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย:
- มีอาการวิงเวียนศีรษะ
- เส้นประสาทถูกรบกวน เช่น การมองเห็นที่เปลี่ยนไปซึ่งอยู่ในระยะอาการออร่า
- ตาไม่สามารถสู้แสงได้
- เกิดอาการปวดหัวเมื่ออยู่ในที่ที่มีเสียงดัง
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
อาการปวดหัวแบบไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่มักพบได้เป็นอันดับที่ 2 ของการปวดหัวแบบปฐมภูมิ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยได้
อาการปวดหัวแบบไมเกรนอาจมีอาการอยู่ได้ชั่วโมงหนึ่งหรืออาจมีอาการอยู่ได้ถึง 2-3 วัน ซึ่งอาการปวดหัวแบบไมเกรนนั้นมีความถี่ที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่า อาการไมเกรนนี้สามารถเกิดขึ้นได้เป็นเวลา 1 สัปดาห์หรืออาจมีอาการเป็นปีได้
อาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดหัวมากเกินไป
อาการปวดหัวเหล่านี้เรียกว่าอาการปวดหัวแบบรีบราวนด์ ซึ่งมีอาการปวดหัวเนื่องจากการใช้ยาแก้ปวดหัวมากเกินไป
อาการปวดหัวที่เกิดจากการใช้ยาแก้ปวดหัวมากเกินไป เกิดจากการที่รับประทานยาแก้ปวดหัวจนเสพติดการรับประทานยาแก้ปวดหัว เช่น ยาแก้ปวดอย่างยาโคเดอีน หรือยามอร์ฟีน
นอกจากจะมีอาการปวดหัวแล้ว อาจพบอาการอื่นได้ต่อไปนี้:
- อาการปวดคอ
- มีอาการกระสับกระส่ายจนไม่ได้พักผ่อน
- มีอาการคัดจมูก
- มีอาการนอนไม่หลับ
อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นนั้นมีความแตกต่างกันไป และอาการนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนไปต่อวันอีกด้วย
อาการปวดหัวแบบข้างเดียว
อาการปวดหัวประเภทนี้ มักเกิดขึ้นเป็นเวลาตั้งแต่ 15 นาทีหรืออาจเกิดอาการปวดหัวนี้เป็นเวลา 3 ชั่วโมง และอาจเกิดขึ้นได้ 1 หรือ 8 ครั้งต่อวันก็ได้
อาการปวดหัวข้างเดียวกันอาจมีอาการเกิดขึ้นบ่อยครั้งเป็นเวลา 4-12 สัปดาห์และอาการก็จะหายไป ซึ่งอาจมีอาการปวดหัวกลับมาอีกในเวลาเดียวกันของแต่ละวันได้
อาการปวดหัวข้างเดียวมักมีอาการต่อไปนี้:
- มีอาการปวดที่รุนแรงอย่างเฉียบพลัน
- มีอาการปวดรอบดวงตา
- มีน้ำตาไหลหรืออาการตาแดง
- มีภาวะหนังตาตก
- มีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
- ม่านตาแคบลง
- มีเหงื่อไหลที่หน้า
อาการปวดหัวแบบฟ้าผ่า
อาการปวดหัวนี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและร้ายแรงมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะบอกว่า “เป็นอาการปวดหัวที่แย่ที่สุดที่เคยเป็นมา” ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ภายใน 1 นาทีและยาวนานถึงมากกว่า 5 นาที
อาการปวดหัวแบบฟ้าผ่าเป็นอาการปวดหัวที่พบได้รองลงมาเป็นอันดับ 2 ที่สามารถส่งผลกระทบที่อันตรายถึงชีวิตได้ เช่นอาการต่อไปนี้:
- โรคผนังหลอดเลือดแดงโป่งพอง
- ภาวะเส้นเลือดหดตัวที่ผิดปกติ
- โรคไขสันหลังอักเสบ
- โรคต่อมใต้สมองตกเลือด
- มีเลือดออกในสมอง
- มีลิ่มเลือดในสมอง
ซึ่งคนที่มีอาการปวดหัวนี้มักเกิดอาการได้อย่างรวดเร็ว และมีอาการที่รุนแรง หากคุณอาการปวดหัวแบบนี้ ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอาการโดยด่วนทันที
การรักษาอาการปวดหัว
การพักผ่อนและการบรรเทาด้วยยาอาการปวดหัวนั้น เป็นวิธีการรักษาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นได้
ซึ่งรวมถึงการรักษาโดยวิธีต่อไปนี้:
- ยาบรรเทาอาการปวดหัวที่ไม่ใช่ยาประเภทสเตียรอยด์ที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น ยาต้านอาการอักเสบ
- ยาบรรเทาอาการปวดหัวที่ได้รับการแนะนำจากแพทย์
- ยาที่รักษาอาการของโรคบางชนิด เช่นยารักษาโรคไมเกรน
- การรักษาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นตามอาการ
การใช้ยาแก้ปวดหัวนั้น จำเป็นต้องใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการป้องกันการปวดหัวที่เกิดจากการใช่ยาแก้ปวดมากจนเกินไป
การรักษาอาการปวดหัวจากการใช้ยาแก้ปวดหัวมากเกินไปนั้น อาจต้องลดปริมาณยาหรือหยุดใช้ยาแก้ปวดหัว ซึ่งแพทย์สามารถจัดแผนการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการใช้ยาอย่างปลอดภัย ในกรณีที่มีอาการปวดหัวขั้นรุนแรง อาจต้องได้รับการรักษาอาการปวดหัวที่โรงพยาบาลในระยะเวลาสั้น ซึ่งสามารถจัดการอาการปวดหัวอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
สถิติอาการปวดหัวในประเทศไทย
สถิตินี้มาจาก งานวิจัยจากกรมสุขภาพจิต ที่มีชื่อว่า ปวดหัวไมเกรนแบบไหนเสี่ยงเส้นโลหิตสมองตีบมากที่สุด ซึ่งพบว่า ในวันที่ 6 มีนาคม 2560 นั้น ชมรมศึกษาโรคปวดศีรษะรายงานผลมาว่า จากการสำรวจที่ชุมชนแห่งหนึ่งในภาคกลางเป็นเวลา 1 ปี พบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรนสูงถึง 17% ในกลุ่มผู้ป่วยไมเกรนนี้มีถึง 30% มีความรุนแรงจนถึงขั้นไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย และพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/conditions/headaches/
- https://www.healthline.com/health/headache/types-of-headaches
- https://www.webmd.com/migraines-headaches/migraines-headaches-basics
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/9639-headaches
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก