เริม (Herpes) คือ การติดเชื้อที่เกิดจาก HSV (ไวรัสเริม) ไวรัสนี้มีผลต่ออวัยวะเพศภายนอก และบริเวณทวารหนัก รวมถึงผิวหนังในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
เริมเป็นโรคเรื้อรัง อย่างไรก็ตามหลายคนไม่เคยมีอาการแม้ว่าพวกเขาจะมีเชื้อไวรัสเริมอยู่ก็ตาม
อาการของเริมได้แก่ แผลพุพอง ความเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ ไข้ และตกขาว แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาโรคเริมให้หายขาด แต่ก็มีวิธีการบรรเทาด้วยตนเอง
ในบทความนี้จะกล่าวถึงอาการของโรคเริม วิธีการรักษา และวิธีการหลีกเลี่ยง
ข้อมูลทั่วไปที่ควรรู้เกี่ยวกับเริม
- ไวรัสเริมมีสองประเภทคือ HSV-1 (เริมที่ปาก) และ HSV-2 (เริมที่อวัยวะเพศ)
- การได้รับออรัลเซ็กซ์จากผู้ที่มีแผลเริมที่ปาก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเริม
- เริมไม่สามารถติดต่อผ่านการนั่งชักโครกได้
อาการโรคเริม
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะไม่ปรากฏอาการนานหลายเดือนหรือหลายปีหลังจากติดเชื้อ แต่ในบางกรณีผู้ที่มีอาการในช่วงเริ่มต้นมักจะสังเกตแผลเริม 4 วันหลังจากได้รับเชื้อเริม (เฉลี่ย 2-12 วัน)
อาการติดเชื้อเริมในระยะแรก
การติดเชื้อเริมในระยะแรกคือ ผู้ป่วยติดเชื้อเป็นครั้งแรก อาการอาจค่อนข้างรุนแรงโดยมีอาการดังนี้:
- แผลที่อวัยวะเพศภายนอก ในช่องคลอด หรือบนปากมดลูก
- ตกขาว
- เจ็บปวดและคัน
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ปวดแผลเมื่อปัสสาวะ
- มีไข้
- วิงเวียน
- แผลรอบปาก
- แผลสีแดงบนผิว
ในกรณีส่วนใหญ่แผลจะหายโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
อาการติดเชื้อเริมซ้ำ
อาการเริมที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อซ้ำมีมักจะรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อครั้งแรก โดยทั่วไปอาการจะไม่เกิน 10 วัน โดยมีอาการดังนี้:
- ปวดแสบร้อนรอบอวัยวะเพศ ก่อนที่แผลจะปรากฏขึ้น
- ผู้หญิงอาจมีแผลที่ปากมดลูก
- แผลรอบปาก
- แผลสีแดงที่ผิว
จำนวนการเกิดขึ้นซ้ำนั้นจะลดความถี่ลงเรื่อยๆ รวมถึงความรุนแรงของอาการจะลดลงด้วย
โรคเริมเกิดจากอะไร
เมื่อเกิดการติดเชื้อ HSV ที่ผิวหนัง เชื้อนี้สามารถส่งผ่านไปยังคนอื่นได้อย่างง่ายดายผ่านผิวหนังที่มีความชุ่มชื้น ได้แก่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ไวรัสเริมอาจแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นผ่านทางผิวหนังและดวงตาได้เช่นกัน
เราไม่สามารถติดเชื้อ HSV ได้โดยการสัมผัสวัตถุ พื้นผิว อ่างล้างหน้าหรือผ้าขนหนูที่ผู้ติดเชื้อสัมผัส การติดเชื้อนั้นสามารถเกิดได้ดังนี้:
- การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักที่ไม่มีการป้องกัน
- การมีเพศสัมพันธ์ทางปากกับบุคคลที่ปากเป็นเริม
- การแบ่งปันของเล่นทางเพศ
- การสัมผัสอวัยวะเพศกับผู้ติดเชื้อเริม
แผลพุพองจะปรากฏขึ้นภายหลังการติดเชื้อเริมและแผลจะเริ่มหายในภายหลัง ซึ่งเริมนั้นสามารถส่งต่อไปยังคนอื่นได้ แม้ว่าแผลจะหายสนิทแล้วก็ตาม
หากมารดาป่วยเป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศเป็นไปได้ว่าจะส่งต่อเชื้อเริมไปยังทารกที่คลอดออกมา
การรักษาโรคเริม
การรักษาเริมนั้นสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:
การรักษาด้วยตนเอง
พฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยบรรเทาอาการเริมได้ :
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น Acetaminophen หรือ Ibuprofen
- อาบน้ำที่ผสมเกลือเล็กน้อยสามารถช่วยบรรเทาอาการ
- แช่น้ำอุ่น
- ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่กับบริเวณที่เป็นเริม
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับรัดบริเวณที่เป็นเริม
- ล้างมือให้สะอาดหลังจากสัมผัสบริเวณที่เป็นเริม
- หลีกเลี่ยงจากกิจกรรมทางเพศจนกว่าแผลจะหาย
- หากปัสสาวะและมีอาการเจ็บปวด ให้ใช้ครีมหรือโลชั่นทาบริเวณท่อปัสสาวะ เช่น Lidocaine
การรักษาด้วยยา
ไม่มียาใดที่สามารถกำจัดไวรัสเริมได้ แพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir ที่จะช่วยยับยั้งการเจริญของไวรัสเริม และยังช่วยลดความรุนแรงของเริม
แพทย์จะสั่งยาต้านไวรัสในผู้ป่วยติดเชื้อเริมครั้งแรก เนื่องจากอาการที่ปรากฏซ้ำในครั้งถัดไปนั้นไม่มีอาการรุนแรง
การรักษาแบบยับยั้ง Episodic
การรักษาแบบับยั้ง Episodic นั้น เป็นวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเกิดซ้ำน้อยกว่า 6 ครั้ง ใน 1 ปี แพทย์จะสั่งยาต้านไวรัสให้ใช้ติดต่อกัน 5 วันทุกครั้งที่มีอาการปรากฏ
ในบางกรณีแพทย์แนะนำให้ใช้ยาต้านไวรัสทุกวันอย่างไม่มีกำหนด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำอีก แม้ว่าการรักษาแบบยับยั้งจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจาย HSV ไปยังคู่นอนได้ แต่ก็ยังมีโอกาสที่คู่นอนจะติดเริมจากผู้ป่วยได้
เคล็ดลับการป้องกันเริม
เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดเริม สามารถทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ได้:
- ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
- ไม่มีเพศสัมพันธ์ในขณะที่มีอาการเริม
- อย่าจูบเมื่อมีอาการเริมที่ปาก
- มีคู่นอนเดียว
ในผู้ป่วยบางรายพบว่า ความเครียด ความเหนื่อย ความเจ็บป่วย แรงเสียดทานที่มีต่อผิวหนัง หรือการอาบแดด อาจทำให้เกิดอาการเริมซ้ำ การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นต่างๆ จะทำให้ลดโอกาสที่เริมเกิดซ้ำได้
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/conditions/genital-herpes/
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/genital-herpes/symptoms-causes/syc-20356161
- https://www.healthline.com/health/herpes-simplex
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก