ไวรัสโรต้า (Rotavirus) เป็นไวรัสที่ติดต่อง่าย โดยจะทำให้ผู้ป่วยกระเพาะอักเสบและลําไส้อักเสบ นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ผู้ใหญ่ก็ป่วยจากเชื้อไวรัสโรต้าได้ แต่หากเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ แล้ว โรคจะมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนและมีอายุระหว่าง 3 ถึง 35 เดือน อย่างไรก็ตาม ทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือนมักมีภูมิคุ้มกันที่ได้จากแม่
อาการไวรัสโรต้า
เชื้อไวรัสโรต้าจะแพร่กระจายเข้าไปถึงกระเพาะอาหารและลําไส้ ทั้งนี้ อาจใช้เวลาประมาณ 2 วันหลังติดเชื้อ จึงแสดงอาการของโรค เช่น:
ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำในปริมาณมาก และถ่ายหลายครั้งในหนึ่งวัน ทั้งนี้ อาการอาเจียนและท้องเสียอาจเกิดนานตั้งแต่ 3 ถึง 8 วันขึ้นไป
ทั้งนี้ การที่ผู้ป่วยมีภาวะเสียน้ำอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโรต้าอาการและอาการแสดงของภาวะขาดน้ำรุนแรง ได้แก่:
-
ปัสสาวะได้น้อยลง
-
มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
-
ผิวแห้งหรือตัวเย็น
-
ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
-
ปากแห้งหรือเหนียว
-
คอแห้ง
-
ตาลึกโบ๋เหมือนคนอดหลับอดนอน
-
กระหม่อมของทารกจะยุบ
-
กระหายน้ำมากผิดปกติ
-
รู้สึกเวียนหัวเมื่อยืนขึ้น
ทารกอาจมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ง่วงนอนหรือหงุดหงิด
หากเคยติดเชื้อมาก่อนแล้ว ผู้ป่วยที่หายแล้วก็มีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้อีก อย่างไรก็ตาม เมื่อภูมิคุ้มมีประสิทธิภาพขึ้นหรือผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันแล้ว การติดเชื้อครั้งต่อไปก็จะมีอาการไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก นอกจากนี้ ไวรัสโรต้ายังอาจมีไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้ใหญ่ส่วนมากจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เองตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่เปราะบางน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ยังสามารถติดเชื้อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้ใหญ่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ หรือการเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด หรือติดเชื้อจากการสัมผัสเชื้อช่วงโรคระบาด และผู้ใหญ่ยังสามารถติดเชื้อไวรัสจากเด็กได้อีกด้วย
ทั้งนี้ การขาดน้ำอย่างรุนแรงที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อโรต้าไวรัสอาจร้ายแรงกว่าการติดเชื้อเอง และการขาดน้ำอย่างรุนแรงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่พบมากที่สุด
ในปี 2013 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่า เด็กราว 215,000 คนทั่วโลก เสียชีวิตจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศกําลังพัฒนา
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโรต้า
เชื้อไวรัสโรต้ามีด้วยกันหลายชนิด แต่จะมี 5 สายพันธุ์หลัก ๆ ที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในผู้ป่วยกว่า 90%
เชื้อไวรัสโรต้าส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างกายของคน มาจากอุจจาระที่มีเชื้อแล้วปนเปื้อนอยู่ในอาหาร แล้วเรารับประทานเข้าไปในร่างกาย
อุจจาระของผู้ติดเชื้ออาจมีเชื้อมากกว่า 10 ล้านล้านตัวต่อกรัม ผู้ป่วยอาจได้รับเชื้อ แม้จะแค่ 10 และ 100 ตัวก็สามารถแพร่กระจายได้เพิ่มและทำให้ป่วยได้
หากใช้ชีวิตแบบไม่มีสุขลักษณะที่ดี เช่น ไม่ชอบล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หรือไม่ชอบล้างมือหลังใช้ห้องน้ำแล้ว ไวรัสโรต้าก็สามารถแพร่กระจายไปที่อื่นได้
การเอามือสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนกับเชื้อไวรัสโรต้าแล้วเอามือมาสัมผัสบริเวณปากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ทั้งนี้ การติดเชื้อบ่อย ๆ มักเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีเด็กเล็กจำนวนมาก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล
โดยไวรัสจะมีชีวิตอยู่ได้ที่หลายชั่วโมงบนมือเรา และมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น บนพื้นผิวเรียบแข็ง
การวินิจฉัยไวรัสโรต้า
ไวรัสโรต้าทําให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง
ทั้งนี้ แพทย์จะทำการตรวจอุจจาระเพื่อตรวจหาไวรัสโรต้า
โดยในห้องปฏิบัติการ แพทย์จะใช้เอนไซม์อิมมูโนแอสเซย์เพื่อตรวจจับไวรัสได้
ชุดทดสอบที่ผ่านการรับรองและได้รับใบอนุญาตสามารถตรวจจับเชื้อไวรัสโรต้าได้ทุกประเภท
ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว อาการของโรคจะหายไปแม้ไม่ได้รักษาก็ตาม
ควรปรึกษาแพทย์หาก:
-
อาการไม่ดีขึ้นหลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่แสดงอาการ
-
หากเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะยังพื้นที่เสี่ยงเมื่อไม่นานมานี้
-
มีเลือดหรือมูกปนมาในอุจจาระ
ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที หากมีภูมิคุ้มกันอ่อนแออยู่แล้ว เช่น มีโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะรุนแรง หรือได้รับผลข้างเคียงจากการรักษาพยาบาล เช่น เคมีบําบัด เป็นต้น
การรักษาการติดเชื้อไวรัสโรต้า
ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีจำเพาะในการรักษาการติดเชื้อไวรัสโรต้า แต่มักจะหายเองภายใน 7 วัน อย่างไรก็ตาม การป้องกันและการรักษาอาการที่มากับภาวะการขาดน้ำรุนแรงนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวคือ ให้ดื่มของเหลว เช่น น้ำ หรือผสมสารละลายเกลือแร่เพื่อป้องกันการขาดน้ำ (ORS) มาก ๆ ทั้งนี้ แพทย์จะไม่แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้และเครื่องดื่มน้ำอัดลม เนื่องจากทำให้อาการท้องเสียแย่ลงมากขึ้น
โดยปกติแล้ว สารละลายเกลือแร่ต่าง ๆ มักบรรจุมาในซอง และหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งสารละลายเกลือแร่เหล่านี้ช่วยทดแทนเกลือ กลูโคส และแร่ธาตุสําคัญอื่น ๆ ที่สูญเสียไปจากภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
หากผู้ป่วยอาเจียนหลังจากดื่มสารละลาย ORS แล้ว ควรรออีกซัก 5 ถึง 10 นาทีก่อนที่ดื่มเข้าไปอีก
ควรดื่ม ORS ช้า ๆ หรือจิบน้ำที่ผสมสารละลายราวหนึ่งช้อนโต๊ะ ทุก ๆ 2-3 นาที และหมั่นจิบน้ำ เมื่อผู้ป่วยอุจจาระเหลวเป็นน้ำในปริมาณมาก ๆ
ปริมาณที่แน่นอนของ ORS ที่ผู้ป่วยควรจะดื่มควรขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักตัวของผู้ป่วยแต่ละคน นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคําสั่งด้านข้างของซองผลิตภัณฑ์เหล่านี้ หรือปฏิบัติตัวตามแพทย์หรือเภสัชกรสั่งอย่างเคร่งครัด
หากไม่มีอาการแสดงหรือไม่มีความเสี่ยงจากการขาดน้ำอย่างรุนแรง ผู้ป่วยกินอาหารหรือดื่มอะไรก็ได้ตามปกติ ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเป็นเด็ก และไม่มีอาการ คุณแม่ก็สามารถป้อนนม หรือให้ทานอาหารตามวัยได้ตามปกติ
ในกรณีที่มีการขาดน้ำอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อให้ของเหลวทางหลอดเลือดดํา
การป้องกันเชื้อไวรัสโรต้า
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโรต้าควรอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ จนกว่าเวลาจะผ่านไป 48 ชั่วโมง หลังจากอาการท้องเสียและอาเจียนเริ่มหายไปหมดแล้ว
ทั้งนี้ เด็ก ๆ ควรจะเรียนรู้การล้างมือให้สะอาดหลังจากใช้ห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
ควรทําความสะอาดโถชักโครกให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังถ่ายท้องเสียและอาเจียนแต่ละครั้ง
พนักงานบริบาลหรือคนดูแลเด็กก็ควรหมั่นล้างมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือทําความสะอาดห้องน้ำแล้ว ไม่ควรใช้ผ้าต่าง ๆ ช้อน ส้อม และเครื่องใช้ในครัวนำมาใช้ร่วมกันกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในบ้าน
เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เด็กยังควรจะอยู่กับบ้าน คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ควรส่งเด็กกลับไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนจนกว่าจะผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง หลังจากอาการท้องเสียและอาเจียนเริ่มหายไปหมดแล้ว
ผู้ป่วยยังไม่ควรลงสระว่ายน้ำในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากอาการท้องเสียและอาเจียนเริ่มหายไปหมดแล้ว ถึงแม้จะไม่มีอาการแล้ว การวิจัยพบยังพบว่า ไวรัสโรต้ายังสามารถแพร่ไปยังเด็กคนอื่น ๆ ผ่านทางสระว่ายน้ำได้อีกด้วย
การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัส
การฉีดวัคซีนช่วยปกกันไวรัสได้ แม้จะไม่มีประสิทธิภาพ 100% แต่ยังป้องกันการติดเชื้อรุนแรงในเด็ก 9 ใน 10 คนได้ และช่วยป้องกันการติดเชื้อในเด็ก 7 ใน 10 คนได้ด้วย
วัคซีนป้องกันโรคไวรัสโรต้าเชื่อว่า ช่วยป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40,000 คนต่อปี
วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า มีอะไรบ้าง:
-
วัคซีนโรต้าเทค (RotaTeq – RV5) จะฉีด 3 โด้สในเด็กที่มีอายุ 2 เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน
-
วัคซีนโรต้าริก (Rotarix – RV1) จะฉีด 2 โด้สให้เด็กอายุ 2 เดือนและ 4 เดือน
วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้านำมาใช้ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 2006 ก่อนหน้านั้น ไวรัสโรต้าเป็นสาเหตุหลักของอาการท้องเสียรุนแรงในหมู่ทารกและเด็กเล็ก และเด็กส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโรต้าก่อนอายุได้ 5 ขวบด้วยซ้ำ
ซึ่งทำให้ เด็กราว 55,000 และ 70,000 คน ต้องเข้าโรงพยาบาล และเสียชีวิต 20 ถึง 60 รายในแต่ละปี วัคซีนได้รับการผลิตมาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อจนกระทั่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลราว 40,000 ถึง 50,000 คนต่อปี
ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ประมาณการ ว่า:
“สําหรับปีแรกของทารก วัคซีนไวรัสโรต้าช่วยป้องกันเด็กราว 85-98% จากการเจ็บป่วยรุนแรงเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า และการรักษาในโรงพยาบาลจากการเจ็บป่วยด้วยเชื้อไวรัสโรต้า และ 74-87 เปอร์เซ็นต์ป้องกันการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสโรต้าชนิดรุนแรง”
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนมีโอกาสเกิดอาการแพ้ในเด็กบางคน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กได้ อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว การฉีดวัคซีนยังถือว่า “ปลอดภัยมาก”
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก