โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือโรคซาร์ส เป็นโรคที่แพร่ระบาดได้ง่าย และมีอันตรายถึงชีวิต เป็นโรคที่เกิดขึ้นในปี 2002-2003 แต่ก็ไม่ระบาดอีก
ซาร์สคือ อะไร
ไวรัสโคโรน่าเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์ส เป็นโรคที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งรวมไปถึงไข้หวัดธรรมดาด้วย โคโรน่าไวรัสมีอยู่ 7 ชนิดที่สามารถทำให้คนติดเชื้อได้ 4 ชนิดเป็นชนิดที่พบได้ทั่วไป ที่เราอาจจะติดได้ถ้าไม่ป้องกัน โคโรน่าไวรัสมีหลายชนิด
- ซาร์ส (SARS)
- เมอร์ส (Middle East Respiratory Syndrome หรือ MERS)
โคโรน่าไวรัสที่ระบาดมากที่สุดตั้งแต่ปี 2002 โดยเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุด
สาเหตุ
ซาร์สเป็นโรคที่แพร่จากสัตว์สู่คน กรมควบคุม และป้องกันโรคระบุไว้ว่า 75% ของการติดเชื้อมาจากสัตว์ รวมไปถึงโรคพิษสุนัขบ้า และอีโบล่า โรคที่แพร่จากสัตว์สู่คนส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากสัตว์ป่ามากกว่าสัตว์เลี้ยง
สัตว์บางชนิดสามารถมีไวรัสอยู่ในตัวได้โดยที่ไม่ป่วยเพราะร่างกายคุ้นเคยกับไวรัส ซึงอาจเป็นเพราะร่างกายของพวกมันมีภูมิคุ้มกัน
ไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตาม หากไวรัสแพร่ระบาดไปยังสัตว์ชนิดอื่น อาจทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ และเป็นอันตราย
เมื่อไวรัสชนิดใหม่เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายของมนุษย์ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสชนิดนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะสามารถสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมา และแอนติบอดี้เหล่านี้จะสู้กับไวรัส
เมื่อไข้หวัดหมู หรือ H1N1 ( Swine flu ) เกิดขึ้นในปี 2009 ในขณะนั้น ได้มีความกังวลว่ามันจะกลายเป็นการระบาดใหญ่ ปัจจุบันนี้ ไข้หวัดหมูกลายเป็นหนึ่งในไข้หวัดตามฤดูกาลที่มีการฉีดวัคซีนประจำปี และหลายคนยังมีภูมิต้านทานต่อ H1N1
อาการ
ในตอนที่เกิดการระบาดของโรคซาร์ส อาการจะเกิดขึ้นใน 2-7 วันหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส แต่บางครั้งก็ใช้เวลาถึง 10 วัน
อาการแรกคือ จะมีไข้สูงมากกว่า 38.0°C อาการอื่น ๆ ก็จะเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่
อาการเบื้องต้นมีดังนี้:
- ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย
- หนาวสั่น
- ท้องเสีย 10–20% ของผู้ป่วย
อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในประมาณ 7 วัน
หลังจาก 7–10 วัน ผู้ป่วยอาจมีอาการ:
- ไอแห้ง
- หายใจติดขัด
- มีระดับออกซิเจนในร่างกายต่ำ
ผู้ป่วยโรคซาร์สส่วนใหญ่จะมีภาวะปอดบวม ในขณะที่บางคนมีความเสียหายที่ตับ ไต และปอดในระยะยาว
อาการแทรกซ้อนเหล่านี้มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่ป่วยเป็นโรคซาร์สก็สามารถรักษาหายดีได้
การรักษา
SARS เป็นโรคที่ต้องรายงาน และจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ในระหว่างการแพร่ระบาดในปี 2003 ผู้ที่เป็นโรคซาร์สไม่จำเป็นต้องกักตัว องค์กรอนามัยโลกแนะจำให้แยกตัวผู้ป่วย และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น หน้ากาก และแว่นตา
ไม่มียาที่สามารถใช้รักษาโรคซาร์สได้ ส่วนมากแล้วจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ และยาแก้ไอ ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
การป้องกัน
เช่น เดียวกับโรคที่ติดเชื้ออื่น ๆ ขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้อาจช่วยป้องกันโรคซาร์สได้
ขั้นตอนมีดังนี้:
- ล้างมือบ่อย ๆ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา ปาก และจมูกหากยังไม่ได้ล้างมือ
- ปิดปาก และจมูกด้วยทิชชู่เวลาไอ หรือจาม
- หลีกเลี่ยงการแบ่งอาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ต่าง ๆ
- อยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร
- ทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
ผู้ที่มีอาการของโรคซาร์สต้องลดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจนกว่าอาการจะดีขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นโรคซาร์สจะแพร่เชื้อได้เมื่ออาการปรากฏขึ้นแล้วเท่านั้น และมักจะเป็นช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของการป่วย
นี่คือที่มาในบทความของเรา
- https://www.who.int/health-topics/severe-acute-respiratory-syndrome
- https://www.cdc.gov/sars/about/fs-sars.html
- https://www.sars.gov.za/
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก