เมื่อคนถูกงูกัด (Snake Bites) อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ แม้ว่าไม่ค่อยมีผู้เสียชีวิตจากการถูกงูกัด แต่การโดนงูกัดเป็นเรื่องที่ผิดปกติ คนเราอาจโดนงูที่มีพิษหรือไม่มีพิษกัดได้ ดังนั้นการรู้วิธีรักษาเมื่อโดนงูกัดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
เมื่อโดนงูกัดอาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ระดับไม่รุนเเรงไปจนถึงอาการเจ็บปวดรุนเเรง แต่อย่างไรก็ตามสถิติการเสียชีวิตของผู้ที่ถูกงูกัดเป็นศูนย์หรือแทบไม่มีเลย โดยปกติคนที่ถูกงูกัดสามารถหายได้เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
แผลถูกงูกัดทุกชนิดจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ แม้ว่าโดนงูที่ไม่มีพิษกัดก็ตาม เนื่องจากแผลที่ถูกงูกัดจำเป็นต้องได้รับการทำแผลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการติดเชื้อและอาการเจ็บปวดที่รุนเเรง
เมื่อถูกงูที่ไม่มีพิษกัดอาจไม่มีอาการเจ็บปวดเกิดขึ้น แต่ถ้าหากถูกงูมีพิษบางชนิดกัดอาจทำให้ชีวิตได้ทันที
ในบทความนี้เราได้นำเสนอเกี่ยวกับอาการของงูกัดและวิธีระบุลักษณะของแผลงูกัดว่าเกิดจากงูชนิดที่มีพิษหรือไม่ นอกจากนี้ยังได้อธิบายถึงวิธีการรักษาและวิธีการปฐมพยาบาลสำหรับผู้ที่ถูกงูกัดเช่นกัน
ข้อสรุปเกี่ยวกับแผลงูกัด
-
จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ในแต่ละปีมีประชากรในประเทศไทยโดนงูกัดประมาณ 7,000 คน
-
การถูกงูกัดไม่ได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์เสมอไป แม้ว่าคนส่วนใหญ่มักรู้สึกกลัวเมื่อปล่อยให้แผลงูกัดหายเอง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกงูกัด
-
งูที่ตายแล้วยังสามารถกัดคนได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการจับงูในป่าด้วยมือเปล่า
อาการของงูกัด
อาการของงูมีพิษกัดได้แก่อาการปวดและผิวหนังบวมแดงหรือมีรอยฟกช้ำเกิดขึ้นบริเวณรอบๆที่ถูกงูกัด
โดยปกติคนเราสามารถรู้สึกตัวได้เมื่อถูกงูกัด แต่อย่างไรก็ตามงูอาจกัดคนอย่างรวดเร็วจนทำให้ร่างกายไม่สามารถตอบสนองเมื่อถูกงูกัดได้ทันที
เมื่อถูกงูกัดอาการส่วนมากที่เกิดขึ้นได้แก่อาการปวดบวมรอบๆบริเวณที่เกิดงูกกัด ถ้าหากเป็นงูที่มีพิษกัดจะทำให้มีอาการเป็นไข้และปวดหัวรวมถึงมีอาการชักและไม่รู้สึกตัว อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้อาจเกิดจากความหวาดกลัวหลังจากถูกงูกัดได้
นอกจากนี้การถูกงูกัดสามารถทำให้เกิดอาการแพ้พิษงูอย่างรุนเเรงได้
งูมีพิษบางตัวอาจกัดคนโดยที่ไม่ปล่อยพิษออกมา สาเหตุที่งูไม่ปล่อยพิษออกมาเนื่องจากพวกมันมีพิษในอยู่อย่างจำกัดและจำเป็นต้องกักเก็บพิษไว้ให้ได้มากที่สุด พบว่างูตระกูล pit viper ประมาณ 20-25 เปอร์เซนต์และงูที่มีปล้องสีแดง 50 เปอร์เซนต์มักกัดแบบไม่ปล่อยพิษออกมา
อาการของงูพิษกัด
งูที่มีพิษมีเขี้ยวแหลมสองซี่ทำหน้าที่ปล่อยพิษตอนกัด โดยปกติแล้วเมื่อคนถูกงูมีพิษกัดจะสามารถสังเกตุเห็นรอยเขี้ยวงูกัดสองจุด ถ้าหากถูกงูที่ไม่มีพิษกัดมักทิ้งรอยฟันไว้สองแถว
อาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการแยกความแตกต่างระหว่างแผลของงูที่มีพิษและงูไม่มีพิษเมื่อถูกกัด ดังนั้นผู้ที่ถูกงูกัดจำเป็นต้องไปพบแพทย์ทันที แม้ว่าจะโดนงูชนิดไหนกัดก็ตาม
- อาการทั่วไปเมื่อถูกงูมีพิษกัดได้แก่:
- รอยเขี้ยวสองจุด
- มีอาการปวดบวมบริเวณรอบแผลงูกัด
- ผิวหนังบวมแดงและเกิดรอยฟกช้ำบริเวณที่ถูกงูกัด
- เกิดอาการชาที่ใบหน้าโดยเฉพาะปาก
- อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น
- หายใจลำบาก
- วิงเวียนศีรษะ
- อ่อนเเรง
- ปวดหัว
- เห็นภาพเบลอ
- เหงื่อออกมาก
- มีไข้
- กระหายน้ำ
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ท้องเสีย
- เป็นลมและหมดสติ
อาการของงูที่ไม่มีพิษกัด
เมื่อถูกงูที่ไม่มีพิษกัด งูจะไม่ปล่อยสารพิษออกมาและรอยกัดของงูที่ไม่มีพิษแตกต่างจากงูมีพิษ ซึ่งงูที่ไม่มีพิษจะทิ้งรอยฟันไว้สองแถว
อาการที่เกิดขึ้นเมื่อถูกงูที่ไม่มีพิษกัดได้แก่:
-
เจ็บปวดบริเวณที่เกิดงูกัด
-
มีเลือดออก
-
มีอาการบวมแดงบริเวณที่ถูกงูกัด
-
มีอาการคันรอบๆบริเวณที่ถูกงูกัด
ถ้าหากปล่อยให้เกิดแผลงูกัดไว้และไม่ทำการรักษาอาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อและเซลล์เนื้อเยื่อตายได้ ดังนั้นการรักษาแผลงูกัดอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้บางคนอาจมีอาการแพ้พิษงูรุนแรงเมื่อโดนงูกัด
วิธีระบุลักษณะของงูที่มีพิษ
แม้ว่างูมีหลากหลายชนิด งูส่วนใหญ่ที่พบในแต่ละท้องถิ่นอาจเป็นงูที่ไม่พิษหรือมีพิษ ก็ได้ ดังนั้นแม้ว่าจะถูกงูชนิดใดกัดก็ตาม ควรเข้ารับการรักษาบาดแผลจากแพทย์เท่านั้น
งูมีพิษส่วนใหญ่ที่พบได้แก่:
-
งูตระกูล pit vipers (Crotalinae), ได้แก่ งูหางกระดิ่ง งูพิษคอปเปอร์เฮทและงูเห่า
-
งูชนิดที่มีปล้องสีแดง เช่น งูวงษ์ที่มีพิษเขี้ยวหน้า (Elapidae)
วิธีสังเกตงูตระกูล pit vipers สามารถดูได้ที่แอ่งของส่วนหัวหรือหลุมที่อยู่ระหว่างตาและจมูกทั้งสองข้าง โดยบริเวณหลุมนี้เป็นที่กักเก็บพิษของงูที่มีพิษ ซึ่งงูที่ไม่มีพิษจะไม่มีลักษณะดังกล่าว
วิธีรักษาแผลงูกัด
เมื่อคนเราถูกงูกัดควรไปพบเเพทย์ทันทีหรือทำการปฐมพยาบาลผู้ที่โดนงูกัดเบื้องต้อนก่อนไปพบเเพทย์
ถ้าหากโดนงูกัดควรปฏิบัติตนตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
-
ตั้งสติและใจเย็น
-
โทรหาเบอร์หน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
-
ล้างแผลที่ถูกงูกัดด้วยสบู่หรือน้ำ
-
ถอดเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับบริเวณที่อยู่ใกล้แผลงูกัดออก เนื่องจากแผลงูกัดสามารมบวมขึ้นได้
-
รักษาอวัยวะตำแหน่งของอวัยวะที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำกว่าระดับของหัวใจ
-
ไม่ควรจับหรือฆ่างูที่กัดด้วยตนเอง
ถ้าหากสังเกตพบว่าผู้ใดก็ตามถูกงูที่มีพิษกัด ควรได้รับเซรุ่มถอนพิษงูทันที แต่อย่างไรก็ตามเซรุ่มต้านพิษงูมีหลากหลายชนิดขึ้นงูกับประเภทของงูที่กัด
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับวิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกงูกัด วิธีดังต่อไปนี้เป็นวิธีที่ไม่ควรปฏิบัติหลังจากถูกงูกัด
-
ไม่ควรตัดแผลงูกัดออก
-
ไม่ควรใช้เชือกหรือเสื้อผ้ารัดบริเวณเหนือบาดแผลเมื่อหยุดเลือด
-
ไม่ควรใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกงูกัด
-
ไม่ควรดูดพิษงูออกจากแผล
-
ไม่ควรใช้เครื่องดูดพิษงู
-
คนที่ถูกงูกัดไม่ควรหายาทานเอง เว้นแต่ได้รับยาจากแพทย์เท่านั้น
ควรไปพบเเพทย์เมื่อไหร่
ผู้ที่ถูกงูกัดควรไปพบเเพทย์หรือโทรติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์ 1699 ทันที โดยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินอาการจากบาดแผลที่ถูกงูกัดและใช้วิธีรักษาที่ดีที่สุด
หากเป็นไปได้แพทย์จะใช้เซรุ่มถอนพิษงูหากทราบชนิดของงูที่กัด เนื่องจากเซรุ่มถอนพิษงูมีหลากหลายชนิด
ถ้าหากถูกงูที่ไม่มีพิษกัด ยังคงจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาและทำแผลที่ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
การป้องกันงูกัด
ส่วนใหญ่เเล้วเราสามารถป้องกันการถูกงูกัดได้ โดยปกติงูทั่วไปไม่ได้ทำอันตรายให้กับคน เว้นแต่ว่างูจะกัดคนก็ต่อเมื่อต้องการข่มขู่หรือป้องกันตัวเท่านั้น
วิธีการป้องกันตัวไม่ให้ถูกงูกัดมีดังต่อไปนี้:
-
ไม่ควรจับงูด้วยตนเองเมื่อเจองูในป่า
-
ไม่ครวเข้าไปในบริเวณที่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของงูเช่นกอหญ้าสูง โขนหิน หรือพุ่มไม้
-
ควรใส่รองเท้าบูทและกางเกงหนารวมถึงถุงมือ เมื่อทำงานนอกบ้าน
-
ไม่ควรทำร้ายหรือฆ่างูเอง
นี่คือที่มาในแหล่งบทความของเรา
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก