มะเร็งอัณฑะ (Testicular Cancer) คือมะเร็งที่พบได้น้อยมาก สำหรับผู้ชายลูกอัณฑะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายและเก็บอสุจิ
ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทำหน้าที่ควบคุมการพัฒนาอวัยวะสืบพันธุ์ และลักษณะทางกายภาพอื่น ๆ ของผู้ชาย
อายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นมะเร็งอัณฑะอยู่ที่ 33 ปี และผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและวัยกลางคน นอกจากนี้ มะเร็งอัณฑะยังเกิดขึ้นกับผู้ชายก่อนวัยแรกรุ่น แต่พบได้น้อยมากและมีเพียง 8% เท่านั้นที่เป็นผู้ป่วยหลังวัย 55 ปี
อาการของโรคมะเร็งอันฑะ
อาการของมะเร็งอัณฑะมักปรากฏในระยะเริ่มต้น แต่บางครั้งอาการก็ไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะถึงระยะลุกลาม
ผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยแพทย์สามารถตรวจพบว่าเป็นมะเร็งอัณฑะเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการตรวจร่างกาย
อาการระยะเริ่มต้นที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ เกิดมีก้อนที่ไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือบวมที่อัณฑะ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในอัณฑะซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งก้อนเนื้ออาจไม่ได้หมายถึง ก้อนมะเร็งเสมอไป ทั้งนี้ หากสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ควรพบแพทย์ทันที เช่น :
-
มีอาการปวดในลูกอัณฑะหรือถุงอัณฑะอย่างรุนแรง
-
รู้สึกหนักถุงอัณฑะ
-
เห็นความแตกต่างได้ชัดของขนาดอัณฑะทั้งสองข้าง
ในบางกรณีหากเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้หน้าอกโตและเจ็บด้วย
สำหรับระยะลุกลาม เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้
มีอาการปวดหลัง หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
-
หายใจลำบาก หากมะเร็งลามไปยังปอด
-
ปวดท้อง หากมะเร็งลามไปยังตับ
-
มีอาการปวดหัวและรู้สึกมึนงง หากมะเร็งลามไปยังสมอง
สาเหตุของมะเร็งอัณฑะ
มะเร็งอัณฑะส่วนใหญ่เริ่มเกิดในเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งเซลล์เหล่านี้คือเซลล์ในอัณฑะที่ทำหน้าที่ผลิตอสุจิแต่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
ปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่า ทำไมเซลล์อัณฑะจึงเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงได้
มะเร็งอัณฑะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังต่อไปนี้:
-
มีภาวะลูกอัณฑะติดค้างหรือลูกอัณฑะไม่เลื่อนลงถุง
-
มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งอัณฑะ
-
ลูกอัณฑะติดค้างเกิดขึ้นได้กับคนผิวขาว มากกว่าคนผิวดำหรือชาวเอเชีย
การติดเชื้อเอชไอวีอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งอัณฑะได้ แต่การทำหมันไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งอัณฑะ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวิธีป้องกันมะเร็งอัณฑะได้ เนื่องจากแพทย์ยังไม่ทราบที่แท้จริงว่ามะเร็งอัณฑะเกิดจากสาเหตุใด นอกจากนี้ปัจจัยทางพันธุกรรมอาจมีบทบาทเกี่ยวข้องและทำให้เกิดโรคมะเร็งอัณฑะได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ปัจจัยเสี่ยงใดบ้างที่ผู้ป่วยควรคำนึงถึงก่อนทำหมัน
การรักษามะเร็งอัณฑะ
มะเร็งอัณฑะสามารถรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะในระยะแรก ๆ ผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็งอัณฑะจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีก 5 ปีหลังการวินิจฉัย
แพทย์มักแนะนำวิธีรักษาดังต่อไปนี้:
-
การผ่าตัดศัลยกรรม
-
การฉายแสงบำบัด
-
เคมีบำบัด
-
การรักษาด้วยสเต็มเซลล์
-
การเฝ้าระวัง
ศัลยกรรมรักษา
ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเอาอัณฑะข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างออก เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้องอกแพร่กระจายไปที่อื่น
วิธีนี้ทำร่วมกับการให้ยาชาทั่วไป จากนั้นศัลยแพทย์จะทำแผลเล็ก ๆ ที่ขาหนีบและเอาลูกอัณฑะออกทางรอยผ่าตัด
การเอาลูกอัณฑะข้างเดียวออกไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเพศหรือภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ป่วย แต่การเอาอัณฑะทั้งสองข้างออกหมายความว่า ผู้ป่วยจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ยังมีตัวเลือกอื่น ๆ ที่เป็นตัวช่วยสำหรับภาวะเจริญพันธุ์ได้อีก เช่น แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยฝากสเปิร์มหรืออสุจิแช่แข็งไว้ในธนาคารอสุจิเพื่อใช้ในอนาคต เมื่อจำเป็น
ผลกระทบอื่น ๆ จากการตัดอัณฑะออก เช่น:
-
การสูญเสียความต้องการทางเพศ
-
อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
-
รู้สึกเหนื่อยง่าย
-
รู้สึกร้อนวูบวาบ
-
สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
แพทย์อาจจ่ายผลิตภัณฑ์เสริมฮอร์โมนเพศชาย เช่น เจลแผ่นแปะ หรือ ยาฉีด เพื่อช่วยเสริมสรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังสามารถฟื้นฟูลักษณะของอัณฑะได้ โดยการใส่อัณฑะเทียม ทั้งนี้ ศัลยแพทย์จะใส่อัณฑะเทียมเข้าไปในถุงอัณฑะ แล้วเติมน้ำเกลือเข้าไป
ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดในระยะแรกอาจไม่ต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม
การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง
หากมะเร็งลามไปถึงต่อมน้ำเหลือง โดยปกติแล้วจะเกิดแผลเป็นบริเวณรอบ ๆ เส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของช่องท้อง ศัลยแพทย์จะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองออก โดยวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหรือแบบส่องกล้อง
ทั้งนี้การผ่าตัดจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์โดยตรง แต่ความเสียหายของเส้นประสาทอาจส่งผลต่อการหลั่งน้ำอสุจิของผู้ป่วยทำให้อสุจิจะไม่ออกมาทางท่อปัสสาวะ แต่ไปออกที่กระเพาะปัสสาวะแทน
ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ แต่จำนวนอสุจิที่ลดลงอาจส่งผลต่อการสืบพันธุ์ของผู้ป่วยได้
การฉายเเสงบำบัด
การรักษาด้วยวิธีฉายรังสีจะทำลายดีเอ็นเอภายในเซลล์เนื้องอกและความสามารถในการสืบพันธุ์ ด้วยวิธีรักษานี้สามารถกำจัดมะเร็งและสามารถป้องกันไม่ให้เชื้อมะเร็งลุกลามหรือกลับมาเกิดขึ้นได้อีกครั้ง
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยรังสีซ้ำ เพื่อทำให้มั่นใจว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ให้หมด แต่ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการฉายรังสี
ผลข้างเคียงชั่วคราวต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นได้ เช่น:
• รู้สึกเหนื่อยง่าย
• มีผื่นขึ้น
• มีอาการกล้ามเนื้อและข้อต่อตึง
• รู้สึกเบื่ออาหาร
• รู้สึกคลื่นไส้
อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อสิ้นสุดการรักษา
เคมีบำบัด
การรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นการใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งและหยุดการแบ่งตัว รวมถึงการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
แพทย์อาจแนะนำให้ทำเคมีบำบัดหากมะเร็งอัณฑะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยแพทย์สามารถให้ยาเคมีบำบัดทั้งชนิดรับประทานหรือฉีดเข้าเส้นเลือด
ยาเคมีบำบัดจะโจมตีเซลล์ที่ยังมีสภาพดีและเซลล์มะเร็งไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้:
• มีอาการคลื่นไส้อาเจียน
• มีผมร่วง
• มีแผลในปาก
• รู้สึกเหนื่อยง่ายและรู้สึกไม่สบาย
อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองหลังจากสิ้นสุดการรักษา
การรักษาด้วยสเต็มเซลล์
ในบางกรณี การบำบัดด้วยเซลล์ต้นกำเนิดทำให้ผู้ป่วยที่รับยาเคมีบำบัดด้วยโด้สที่สูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
หลายสัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือพิเศษในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดของผู้ป่วย โดยผู้เชี่ยวชาญจะทำการแช่แข็งและจัดเก็บเซลล์เหล่านี้ไว้
ผู้ป่วยจะได้รับยาเคมีบำบัดในปริมาณสูง จากนั้นแพทย์จะฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าหลอดเลือดดำ เช่นเดียวกับการถ่ายเลือด
เซลล์เหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในไขกระดูกและเริ่มสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยฟื้นตัวจากการใช้เคมีบำบัดในปริมาณที่สูงขึ้นได้
ข้อเสียของการบำบัดประเภทนี้ ได้แก่ :
• เนื่องจากมีการใช้เคมีบำบัดในปริมาณมาก จึงมีความเสี่ยงและอาจมีผลเสียที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
• อาจต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
• อาจมีค่าใช้จ่ายสูง และประกันสุขภาพอาจไม่ครอบคลุม
การเฝ้าระวัง
แพทย์ยังคงเฝ้าระวัง หลังผู้ป่วยเข้ารับการรักษามะเร็งอัณฑะแล้ว เพื่อตรวจหาอาการใดที่บ่งชี้ได้ว่า อาจมีเชื้อมะเร็งเกิดขึ้นอีกครั้ง
โดยการเฝ้าระวังไม่เกี่ยวกับการรักษาที่ทำอยู่ แต่ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัดตามปกติและเพื่อตรวจอาการ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งอัณฑะ
ในการวินิจฉัยมะเร็งอัณฑะ แพทย์จะแนะนำ:
การตรวจเลือด: การตรวจเลือดสามารถวัดระดับของ แอลฟา-ฟีโตโปรตีน ฮอร์โมนเอชซีจี และแลคเตตดีไฮโดรจีเนส ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้อาจช่วยบ่งบอกได้ว่ามีเนื้องอกเกิดขึ้น
อัลตราซาวด์
การทำอัลตราซาวด์จะทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยมีเนื้องอกและมองเห็นขนาดของเนื้องอกได้อย่างชัดเจน
การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อตัวอย่างจากลูกอัณฑะเพื่อส่งตรวจ ด้วยกล้องจุลทรรศน์ การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจสามารถบอกได้ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
การตรวจมะเร็งด้วยตัวเอง
การตรวจร่างกายเป็นประจำอาจช่วยให้พบมะเร็งแต่ระยะเเรก
และช่วงที่สามารถตรวจหามะเร็งอัณฑะได้ดีที่สุดคือเมื่อผิวหนังบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ุคลายตัว โดยปกติแล้ว ก็คือช่วงหลังอาบน้ำอุ่นหรือหลังอาบน้ำ
การตรวจมะเร็งด้วยตนเอง:
-
ค่อย ๆ ประคองถุงอัณฑะไว้ในฝ่ามือทั้งสองข้าง ยืนหน้ากระจกและสำรวจหา อาการบวมที่ผิวหนังของถุงอัณฑะ
-
สัมผัสขนาดและน้ำหนักของอัณฑะก่อน
-
ใช้นิ้วและหัวแม่มือกดรอบอัณฑะ เพื่อสำรวจก้อนเนื้อหรืออาการบวมผิดปกติ
-
การสัมผัสลูกอัณฑะแต่ละข้าง วางนิ้วชี้และนิ้วกลางไว้ใต้อัณฑะข้างหนึ่ง โดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน ค่อย ๆ คลึงลูกอัณฑะระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วมือ ซึ่งพื้นผิวหนังควรจะราบเรียบ เป็นรูปไข่ และค่อนข้างตึง ไม่มีก้อนหรืออาการบวม ด้านบนและด้านหลังของอัณฑะแต่ละข้างควรมีส่วนคล้ายท่อ ที่เรียกว่า หลอดน้ำอสุจิ ซึ่งเป็นที่เก็บอสุจิ
ควรทำขั้นตอนนี้ทุกเดือนเพื่อตรวจดูการเปลี่ยนแปลงขนาด น้ำหนัก หรือคลำอัณฑะ
ผู้ชายจะมีลูกอัณฑะข้างหนึ่งห้อยต่ำกว่าลูกอัณฑะอีกข้าง หรือลูกอัณฑะข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้าง ถ้าหากขนาดของลูกอัณฑะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไป ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ
ประเภทของมะเร็งอัณฑะ
หากการตรวจพบว่าเกิดเชื้อมะเร็งในอัณฑะ แพทย์ต้องทราบด้วยว่าเป็นมะเร็งชนิดใด และอยู่ในระยะใดก่อนที่จะพูดคุยถึงแผนการรักษากับผู้ป่วยแต่ละคน
มะเร็งอัณฑะมีสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่:
-
เซมิโนมา: มะเร็งชนิดนี้เติบโตช้าและมีเพียงเซลล์เซมิโนมาเท่านั้น นอกจากนี้เชื้อมะเร็งประเภทนี้ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท ได้แก่ประเทศคลาสสิกและประเภทสเปิร์มมาโทไซต์
-
นอนเซมิโนมา: มะเร็งชนิดนี้อาจเป็นเซลล์มะเร็งหลายชนิด ทั้งนี้ ยังมีหลายชนิดย่อย ได้แก่ เอมไบรโอนัล คาร์ซิโนมา เนื้องอกโยล์คแซค และ มะเร็งคอริโอคาร์ซิโนม่า รวมถึงเนื้องอกเทอราโทมา
เนื้องอกอื่น ๆ ที่ไม่เป็นมะเร็ง ได้แก่ เนื้องอกในสโตรมัล ก้อนเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์เลดิก และเนื้องอกของเซลล์เซอร์โทไล
ระยะของมะเร็ง
-
ระยะไม่ลุกลาม: มะเร็งจะอยู่ในอัณฑะเท่านั้นและยังไม่แพร่กระจาย
-
ระยะลุกลามไปพื้นที่ใกล้เคียง: มะเร็งลุกลามเข้าไปถึงต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง
-
ระยะลุกลามไปยังอวัยวะอื่น: มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ตับ สมองและกระดูก
วิธีการป้องกันโรคมะเร็งอัณฑะ
ปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันมะเร็งอัณฑะได้ เนื่องจากยังไม่ทราบปัจจัยเสี่ยงที่แท้จริง อย่างไรก็ตามหากครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งอัณฑะ การตรวจโรคทางพันธุกรรมสามารถช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้เร็วขึ้น ถ้าหากมั่นตรวจความผิดปกติตนเองเป็นประจำอาจนำไปสู่การวินิจฉัยพบโรคได้เร็วขึ้น
หากพบแนวโน้มของผู้ที่เป็นมะเร็งอัณฑะในระยะเริ่มต้นระยะแรก โดย 95% ของผู้ป่วยมีชีวิตอย่างน้อยอีก 5 ปีหลังจากการวินิจฉัย
ผู้ป่วยราว 11% ได้รับการวินิจฉัยหลังจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ แล้ว ตามสถิติของสมาคมผู้ป่วยโรคมะเร็งในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีผู้ป่วยราว 74% สามารถมีชีวิตอยู่ต่ออย่างน้อยได้อีก 5 ปี
การตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ สามารถทำให้การตรวจพบมะเร็งอัณฑะในระยะเริ่มต้นง่ายขึ้นและเมื่อทำการรักษาอย่างทันท่วงทีจะมีแนวโน้มที่ดีในมะเร็งชนิดนี้
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.urologyhealth.org/urology-a-z/t/testicular-cancer
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/testicular-cancer-care/symptoms-causes/syc-20352986
-
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/12183-testicular-cancer
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก