โดยปกติโรคลำไส้อักเสบ (Ulcerative Colitis) คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากการติดเชื้อในลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นโรคที่มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารที่มีอาการคล้ายกับโรคโคร์หน
ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนสุดท้าย ซึ่งทำหน้าที่ขับถ่ายกากอาหารที่ย่อยเสร็จแล้วออกจากร่างกาย โดยขับกากอาหารเข้าสู่ทวารหนักขับออกร่างกายเป็นอุจจาระ
ในกรณีที่ลำไส้อักเสบรุนแรงส่งผลให้มีแผลเกิดขึ้นบนเยื่อบุลำไส้ใหญ่ โดยแผลที่เกิดขึ้นอาจมีเลือดไหลออกมาพร้อมกับหนองและเยื่อเมือก
ปัจจุบันมียาและทางเลือกในการรักษาหลาย โดยแพทย์จะปรับแผนการรักษาโรคลำไส้อักเสบตามที่ผู้ป่วยต้องการ
ในบทความนี้ เราได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการและสาเหตุที่สามารถทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบได้ รวมถึงทางเลือกในการรักษา
อาการลำไส้อักเสบ
โรคลำไส้อักเสบอาการท้องเสีย มักจะเป็นสัญญาณแรกของอาการ
เมื่อผู้ป่วยมีอาการท้องเสียเกิดขึ้นทำให้มีอุจจาระขับออกจากร่างกายจำนวนมาก บางคนอาจเคยมีอาการปวดท้องบิดอย่างรุนเเรงจนต้องรีบเข้าห้องน้ำ
สำหรับอาการท้องเสียสามารถเกิดขึ้นได้ทันแบบเฉียบพลันหรือค่อยๆเกิดขึ้นได้ โดยความรุนเเรงของอาการท้องเสียขึ้นอยู่กับระดับการแพร่กระจายของการติดเชื้อ
อาการทั่วไปของโรคลำไส้อักเสบได้แก่:
- ปวดท้อง
- อุจจาระเป็นเลือดหรือมีเมือก
บางคนอาจมีอาการดังต่อไปนี้:
- อ่อนล้าหรืออ่อนเพลีย
- น้ำหนักลดลง
- เบื่ออาหาร
- ภาวะเลือดจาง
- อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
- ภาวะขาดน้ำ
- ต้องการอุจจาระตลอดเวลา
โดยอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในตอนเช้า
แต่สำหรับอาการที่เกิดขึ้นไม่รุนเเรงหรือหายไปเองได้ภายในไม่กี่เดือน ผู้ที่มีอาการดังกล่าวจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเช่นกัน โดยมีวิธีการรักษาที่หลากหลายขึ้นอยู่กับบริเวณลำไส้ใหญ่ที่เกิดการอักเสบ
ประเภทของโรคลำไส้อักเสบ
อาการของโรคลำไส้อักเสบมีหลายประการ โดยขึ้นอยู่กับบริเวณของลำไส้ที่เกิดการติดเชื้อ ซึ่งประเภทของลำไส้อักเสบได้แก่
ชนิดเยื่อบุผิวบริเวณลำไส้ใหญ่และไส้ตรงอักเสบ
โรคลำไส้อักเสบชนิดนี้เกิดขึ้นที่บริเวณสุดท้ายลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรง ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
- เลือดออกที่ลำไส้ตรง โดยอาจเป็นเพียงอาการเดียวที่เกิดขึ้น
- เจ็บปวดที่ลำไส้ตรง
- ไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ แม้ว่าปวดท้องต้องการถ่ายอุจจาระบ่อยๆ
โดยปกติโรคลำไส้อักเสบชนิดนี้มีอาการเจ็บปวดน้อยที่สุด
ลำไส้อักเสบชนิด Proctosigmoiditis
หมายถึงการอักเสบที่ส่วนลำไส้ตรงและลำไส้ส่วนที่มีชื่อเรียกว่า sigmoid ซึ่งเป็นลำไส้ส่วนสุดท้ายที่มีลักษณะโค้งลง
อาการได้แก่:
- ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- ต้องการอุจจาระตลอดเวลา
ลำไส้อักเสบด้านซ้าย
หมายถึงอาการอักเสบของลำไส้ตรงและลำไส้บริเวณส่วนที่โค้งลงมาด้านซ้ายซึ่งมีลักษณะโค้งเป็นตัวเอสมีชื่อเรียกว่า sigmoid
อาการทั่วไปที่เกิดขึ้นได้แก่:
- ท้องเสียเป็นเลือด
- ปวดท้องด้านซ้ายอย่างรุนเเรง
- น้ำหนักลดลง
ชนิด Pancolitis
หมายถึงโรคลำไส้อับเสบที่เกิดขึ้นกับลำไส่ใหญ่ทั้งหมด ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้ :
- ท้องเสียและถ่ายเป็นเลือดบางครั้ง
- ปวดท้องและท้องเป็นตะคริวอย่างรุนเเรง
- อ่อนล้าหมดเเรง
- น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
ลำไส้ใหญ่อักเสบชนิด Fulminant colitis
หมายถึงโรคลำไส้ใหญ่ที่เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรงทั่วทั้งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้น้อยมาก
อาการที่เกิดขึ้นได้แก่อาการปวดท้องและท้องเสียอย่างรุนแรง ซึ่งมีแนวโน้มทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงและมีอาการช็อกได้
โรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิด Fulminant colitis สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างเช่นลำไส้โป่งพองได้ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังขั้นรุนแรงและทำให้ผนังลำไส้ทะลุได้
การรับประทานอาหาร
การปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหารสามารถบรรเทาอาการของลำไส้อักเสบได้ โดยสามารถปฏิบัติได้ตามวิธีดังต่อไปนี้
- แบ่งการทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หรือทานอาหารหลายมื้อในปริมาณเล็กน้อย เช่นทานอาหาร 5-6 มื้อต่อวัน
- ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลและคาเฟอีน เนื่องจากเพิ่มโอกาสเกิดท้องเสียได้
- ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโซดา ซึ่งเพิ่มปริมาณแก๊สในระบบทางเดินอาหาร
- ควรจดบันทึกรายการอาหารที่ทานเป็นประจำเพื่อระบุประเภทของอาหารที่ทำให้อาการลำไส้อักเสบรุนแรงมากขึ้น
ถ้าหากผู้ป่วยมีอาการลำไส้อักเสบเกิดขึ้น แพทย์จะแนะนำให้ทานอาหารชนิดพิเศษ ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน โดยอาหารชนิดพิเศษที่แพทย์แนะนำมีดังต่อไปนี้
- อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ
- อาหารที่ไม่มีแลกโตส
- อาหารไขมันต่ำ
- อาหารที่ไม่มีเกลือ
การทานอาหารเสริมหรือการหยุดทานอาหารบางประเภทสามารถช่วยบรรเทาอาการลำไส้อักเสบได้ อย่างไรก็ตามก่อนเลือกทานอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
สาเหตุของโรคไส้อักเสบ
ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดโรคนี้ได้แก่
พันธุกรรม
มีงานวิจัยที่ระบุว่าผู้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบอาจมีลักษณะสารพันธุกรรมหรอยีนบางชนิด โดยยีนที่มีลักษณะพิเศษนี้อาจทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกายหรือทำให้เกิดโรคขึ้นได้ เมื่อผู้ป่วยมีอายุเพิ่มมากขึ้น
สิ่งแวดล้อม
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ ได้แก่ปัจจัยดังต่อไปนี้
- อาหาร
- มลพิษทางอากาศ
- การสูบบุหรี่
ระบบภูมิคุ้มกัน
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีวิธีการตอบสนองต่อเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับโรคลำไส้อักเสบได้
นอกจากนี้การอักเสบยังสามารถเกิดจขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อเรื้อรังได้
การรักษาโรคลำไส้อักเสบ
โรคลำไส้ใหญ่มีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันตั้งแต่อาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงหรือไม่มีอาการใดเกิดขึ้นเลย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีอาการลำไส้อักเสบเกิดขึ้นจำเป็นต้องได้รับการรักษา เพราะถ้าหากปล่อยไว้อาการของลำไส้อักเสบไม่สามารถหายไปเองได้และมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีก
ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยนอก โดยประมาณ 15% เป็นผู้ป่วยที่เป็นโรคลำไส้อักเสบรุนเเรงและผู้ป่วย 1 ใน 5 รายจำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
การรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมีจุดประสงค์ดังนี้:
- เพื่อป้องกันลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- เพื่อรักษาอาการอักเสบที่เกิดขึ้นซ้ำ
มียารักษาโรคลำไส้อักเสบหลายชนิด โดยแพทย์จะทำการปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคน นอกจากนี้การรักษาด้วยธรรมชาติบำบัดเป็นวิธีที่ที่ช่วยทำให้ผลลัพธ์การรักษาดีขึ้น สำหรับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน มียา 3 ชนิดที่สามารถช่วยทำให้ระบบภูมิกันทำงานตามปกติ ซึ่งเป็นยาที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ได้แก่
- ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ยังยั้ง TNF-α antagonists, เช่น ยา Infliximab (Remicade) หรือ ยา Adalimumab (Humira)
- ยาจานัสไคเนส อินฮิบิเตอร์ เช่นยา Tofacitinib (Xeljanz)
- ยากดระบบภูมิต้านทาน เช่น ยา Thiopurines (Azathioprines) และยา Methotrexate
ยาเหล่านี้เป็นยาที่นำมาใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการลำไส้อักเสบปานกลางไปจนถึงรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามการใช้ยาเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการแพ้ยา
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการลำไส้อักเสบไม่รุนแรงควรใช้ยาในกลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต (5-ASA) ในการรักษาเบื้องต้น
ตัวอย่างเช่น
- ยา Mesalamine
- ยา Balsalazide
- ยา Sulfasalazine
ยาชนิดอื่นๆ
ยาในกลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต : ในอดีตยากลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต (5-ASA) เป็นยาที่นำมาใช้รักษาโรคลำไส้อักเสบเป็นหลัก แต่ปัจจุบันการรักษาโรคลำไส้อักเสบเน้นที่การป้องกันการติดเชื้อในระยะยาวและป้องกันการอักเสบซ้ำ
ยาสเตียรอยด์ : เป็นยาที่ช่วยจัดการกับการติดเชื้อ เมื่อยากลุ่มอะมิโนซาลิไซเลต (5-ASA) ใช้ไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามการใช้ยาสเตียรอยด์ในระยะยาวทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาประเภทนี้ในปริมาณน้อย
การผ่าตัด
ถ้าหากการรักษาโรคลำไส้อักเสบใช้ไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเช้ารับการผ่าตัด โดยมีทางเลือกในการผ่าตัดดังต่อไปนี้
วิธีการผ่าตัดได้แก่
- การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ :เป็นการผ่าตัดลำไส้บางส่วนหรือทั้งหมดออก
- การผ่าตัดต่อลำไส้ : เป็นการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อนำส่วนของลำไส้ที่อักเสบออกไปแล้ว จากนั้นศัลยแพทย์จะนำส่วนปลายของลำไส้เล็กต่อเข้ากับส่วนที่มีชื่อเรียกว่า Kock pouch ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ที่มีหน้าที่กักเก็บกากอาหารที่ผ่านการย่อยจากลำไส้เล็ก
- การผ่าตัดที่ลำไส้ส่วนปลาย (Ileoanal pouch) : เมื่อลำไส้ที่ติดเชื้อออกไปเเล้ว ศัลยแพทย์จะทำการนำส่วนปลายของลำไส้เล็กเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆถาวรหนัก
ข้อมูลจากสถาบันโรคทางเดินอาหารระบุว่า ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่รุนแรงส่วนมากประมาณ 10-15 % จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ใหญ่ออกทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีวิธีรักษาบำบัดทางธรรมชาติสำหรับรักษาโรคลำไส้ใหญ่ ซึ่งได้แก่การทานอาหารที่มีโพไบโอติกที่สามารถปรับสมดุลการทำงานในลำไส้ใหญ่ได้
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ulcerative-colitis/symptoms-causes/syc-20353326
- https://www.webmd.com/ibd-crohns-disease/ulcerative-colitis/what-is-ulcerative-colitis
- https://www.nhs.uk/conditions/ulcerative-colitis/
- https://www.niddk.nih.gov/health-information/digestive-diseases/ulcerative-colitis
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก