แอสไพรินเป็นยาสามัญที่ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อย และไข้ที่ขึ้นเล็กน้อย สามารถใช้เป็นยาต้านการอักเสบ หรือยาระงับลิ่มเลือดได้
สามารถซื้อแอสไพรินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การบรรเทาอาการปวดศีรษะ ลดอาการบวม และลดไข้
แอสไพรินในแต่ละวันสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง กรณีเป็นผู้มีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้สูง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาแอสไพรินทันที เมื่อเกิดอาการหัวใจวายเพื่อป้องกันการอุดตัน และเนื้อเยื่อหัวใจตาย
Aspirin คือ
แอสไพริน คือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) เป็นยากลุ่มที่มีใช้มานานแล้ว
ยาแอสไพรินมีซาลิไซเลตซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในพืชอย่างต้นวิลโลว์ และเมอร์เทิล มีการบันทึกว่า สมุนไพร taap ถูกนำมาใช้งานครั้งแรกเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน
ฮิปโปเครตีสใช้เปลือกต้นวิลโลว์บรรเทาอาการปวด และไข้ และบางคน็นำเปลือกวิลโลว์มาใช้เป็นยาแก้ปวดศีรษะ และปวดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเอง
NSAIDs เป็นกลุ่มยาให้ผลการรักษา ดังต่อไปนี้:
- บรรเทาอาการปวด
- ลดไข้
- ลดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
ยากลุ่มนี้ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่สเตียรอยด์มีสรรพคุณคล้ายกับ NSAIDs แต่ไม่เหมาะกับผู้ป่วยทุกคน และอาจมีผลข้างเคียงได้
ยาแก้ปวด NSAIDs ไม่ใช่ยาเสพติด ซึ่งเป็นยาที่ไม่ทำให้ไม่รู้สึกตัว หรือเกิดอาการมึนงงแอสไพรินเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทยาสัญชาติเยอรมัน Bayer ชื่อสามัญของแอสไพรินคือกรดอะซิติลซาลิไซลิก
วิธีการใช้แอสไพริน
ยา aspirin มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยบรรเทาอาการปวดและบวม ปรับอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเหล่านี้ได้
aspirin กลไกการออกฤทธิ์
อาการปวดและบวม
แอสไพรินสามารถบรรเทาอาการปวด และบวมเล็กน้อยถึงปานกลางได้ หรืออาการทั้ง 2 อย่างร่วมกับปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น:
- ปวดหัว
- เป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
- เคล็ดขัดยอกและความตึงเครียด
- ปวดประจำเดือน
- การรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ และไมเกรน
สำหรับอาการปวดที่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แอสไพรินร่วมกับยาอื่น ๆ เช่นยาแก้ปวด opioid หรือ NSAID ชนิดอื่น ๆ
ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
การใช้แอสไพรินปริมาณเล็กน้อยทุกวัน สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้บางคน – อาจไม่ปลอดภัยสำหรับทุกคน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะนำให้ใช้แอสไพรินวิธีนี้ ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด แอสไพรินขนาดน้อย ๆ สามารถลดความเสี่ยง ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือด
แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้แอสไพรินปริมาณเล็กน้อย ทุกวัน ในกรณีที่:
- เป็นโรคหัวใจหรือหลอดเลือด
- พบการแสดงอาการว่าเลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี
- คอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- ความดันโลหิตสูง หรือโรคความดันโลหิตสูง
- เป็นโรคเบาหวาน
- สูบบุหรี่
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้ อาจมีความเสี่ยงเมื่อใช้แอสไพรินในระยะยาวมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ
มีคำแนะนำว่าผู้ใหญ่อายุ 50-59 ปีที่กินแอสไพรินทุกวัน เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก ก็สามารถใช้แอสไพรินได้เช่นเดียวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีคำแนะนำการใช้กับผู้ใหญ่ในช่วงอายุนี้เมื่อ:
- ความเสี่ยงอย่างน้อย 10% เป็นเวลา 10 ปีของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ไม่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก
- อายุทางสุขภาพอย่างน้อย 10 ปี
- สามารถรับประทานต่อเนื่องในปริมาณน้อย ๆ ได้ทุกวัน อย่างน้อย 10 ปี
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ
แพทย์อาจใช้ยาแอสไพรินทันที เมื่อเกิดอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรืออาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และเนื้อเยื่อหัวใจตาย
แอสไพรินสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการรักษา สำหรับผู้ป่วย:
- การผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือด เช่น การผ่าตัดเสริมหลอดเลือด หรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
- เกิดอาการหลอดเลือดสมองเล็กน้อย หรือเกิดภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว
- โรคหลอดเลือดสมองตีบซึ่งเกิดจากลิ่มเลือด
การใช้งานอื่น ๆ
แอสไพรินสามารถบรรเทาอาการปวดและบวมที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพเรื้อรัง ได้ดังนี้:
- อาการเกี่ยวกับโรคไขข้อ ทั้งโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเข่าเสื่อม และภาวะข้อต่ออักเสบอื่น ๆ
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- การอักเสบรอบ ๆ หัวใจ เรียกว่าโรคเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
แพทย์อาจแนะนำแอสไพรินขนาดน้อย ๆ กับผู้ที่:
- เกิดความเสียหายของจอประสาทตา หรือส่วนที่เรียกว่า ความผิดปกติของจอตา
- เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี
- กำลังใช้ยาลดความดันโลหิต
- มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
ความปลอดภัยของแอสไพรินกับเด็ก
แพทย์มักไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
Aspirin มีผลข้างเคียงต่อเด็กคือ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะร้ายแรงที่เรียกว่า Reye’s syndrome ได้ ซึ่งเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อไวรัส เช่น หวัด ไข้หวัด หรืออีสุกอีใส Reye’s syndrome อาจนำไปสู่อาการของโรคอื่น ๆ ที่สมองอย่างถาวร หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แพทย์อาจพิจารณาสั่งยาแอสไพรินกับเด็กที่มีอาการของโรคคาวาซากิ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดหลังการผ่าตัดหัวใจ
ส่วนมากแพทย์มักแนะนำให้เด็กใช้ acetaminophen (Tylenol) หรือ ibuprofen (Advil) ในปริมาณที่เหมาะสมแทนแอสไพริน
ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรระมัดระวังในการรับประทานแอสไพริน และควรใช้เมื่อแพทย์แนะนำเท่านั้น:
- ความผิดปกติเวลาเลือดออก เช่น โรคฮีโมฟีเลีย
- ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้
- โรคหอบหืด
- แผลในระบบย่อยอาหาร หรือกระเพาะอาหาร
- โรคตับ หรือไต
ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอาจทานแอสไพรินในปริมาณน้อย ๆ ได้ แพทย์มักไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินปริมาณมาก ๆ ในระหว่างตั้งครรภ์
ผู้ที่มีอาการแพ้ยา Aspirin หรือ NSAID ชนิดอื่น ๆ เช่นไอบูโพรเฟนควรหลีกเลี่ยงยาชนิดนี้
แพทย์ไม่ให้ยาแอสไพรินกับผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองบางชนิดไม่ได้เกิดจากลิ่มเลือด และบางกรณีแอสไพรินอาจทำให้โรคหลอดเลือดสมองแย่ลงได้
ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรืออยู่ระหว่างการรักษาทางทันตกรรม หรือเข้ารับการผ่าตัดควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน Asprin
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/medicines/aspirin-for-pain-relief/
- https://www.webmd.com/drugs/2/drug-1082-3/aspirin-oral/aspirin-oral/details
- https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a682878.html
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก