สมองพิการ (Cerebral Palsy) เป็นคำที่ใช้อธิบายภาวะของระบบประสาทที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว เป็นรูปแบบของความพิการในวัยเด็กที่พบบ่อยที่สุด
โรคนี้จะทำให้มีการเคลื่อนไหวบางส่วนของร่างกายได้ลำบาก และความรุนแรงของโรคมีหลายระดับ
เนื่องจากสมองบางส่วนได้รับความเสียหาย ดังนั้นอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวโดยอย่างจงใจหรือโดยไม่ได้ต้้งใจหรือทั้ง 2 อย่างร่วมกัน
โรคสมองพิการไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่มีผลต่อสติปัญญาหรือความสามารถในการรับรู้ และอาการของโรคจะไม่มีการพัฒนาไปกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้น จึงไม่เลวร้ายลงไปตามอายุ บางคนพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปกลับมีอาการดีขึ้น
คนที่เป็นโรคสมองพิการมักจะมีอายุยืนยาวตามปกติ และในหลาย ๆ กรณีสามารถคาดหวังได้ว่าจะมีอาการดีขึ้นได้
สาเหตุของโรคสมองพิการ
สมองส่วนที่ควบคุมกล้ามเนื้อ คือ ส่วนที่เรียกว่า ซีรีบรัม ซึ่งเป็นสมองส่วนหน้า หากเกิดความเสียหายกับสมองส่วนนี้ในช่วงเวลา 5 ปี หลังคลอด อาจจะทำให้เกิดภาวะสมองพิการได้
สมองส่วนซีรีบรัมทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ความสามารถในการเรียนรู้ และทักษะในการสื่อสาร นี่คือสิ่งที่สามารถใช้เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าคนที่เป็นโรคสมองพิการจะมีปัญหาเรื่องการการสื่อสารและการเรียนรู้ บางครั้งหากสมองส่วนนี้ได้รับความเสียหายจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นและการได้ยินอีกด้วย
ทารกแรกเกิดบางคนขาดออกซิเจนในระหว่างคลอดและการคลอด
ในอดีตที่ผ่านมา มีความเชื่อกันว่า การขาดออกซิเจนระหว่างการคลอดทำให้เกิดความเสียหายกับสมองได้
อย่างไรก็ตามมีผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยสมองพิการที่เกิดจากการขาดออกซิเจนระหว่างการคลอดน้อยมีจำนวนกว่า 1 ใน 10 ราย
ส่วนใหญ่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมอง จะเกิดขึ้นก่อนคลอดในระยะประมาณช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
มีเหตุผลอย่างน้อย 3 อย่าง ที่เป็นไปได้ที่ทำให้เกิดภาวะดังที่กล่าวมานี้
Periventricular Leukomalacia (PVL)
PVL คือประเภทของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเนื้อสมองส่วนที่เป็นสีขาว ซึ่งเกิดจากการขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์
ซึ่งเกิดจากมารดามีภาวะติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน ความดันโลหิตต่ำ คลอดก่อนกำหนด หรือใช้ยาเสพติด
มีพัฒนาการของสมองผิดปกติ
สมองหยุดการเจริญเติบโต ทำให้มีผลกระทบต่อการสื่อสารระหว่างสมองและกล้ามเนื้อ และการทำงานในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ในช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะเป็นช่วงที่สมองของตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์มีความเปราะบางเป็นพิเศษ สามารถเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่สมองของทารกอาจเกิดจากการกลายของยีนที่ทำหน้าที่ในพัฒนาการของสมอง การติดเชื้อบางอย่าง เช่น ท็อกโซพลาสโมซิส (toxoplasmosis) การติดเชื้อปรสิต เริม ไวรัสเริม และการบาดเจ็บที่ศีรษะ
การตกเลือดในกะโหลกศีรษะ
บางครั้งทารกอาจจะเกิดภาวะเลือดออกในสมอง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทารกในครรภ์เป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ภาวะเลือดออกในสมองทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อสมองส่วนที่สำคัญ และทำให้เนื้อเยื่อส่วนนั้นเสียหายหรือตายได้ เลือดที่ไหลออกมายังสามารถจับตัวกันเป็นก้อนและทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบก้อนเลือดนั้นได้
มีปัจจัยหลายประการที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองในทารก ระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น
- การไหลเวียนของเลือดขัดขวางเนื่องจากมีการแข็งตัวของเลือดในรก
- มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดของทารกในครรภ์
- การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองของทารกในครรภ์หยุดชะงัก
- มารดามีภาวะครรภ์เป็นพิษที่ไม่ได้รับการรักษา
- การอักเสบของรก
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานของมารดา
หากมีภาวะดังต่อไปนี้เพิ่มเข้ามา จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
- การผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน
- ทิ้งเด็กหลังคลอดไว้เป็นเวลานานกว่าปกติ
- คลอดด้วยการใช้เครื่องดูดสูญกาศดูดตัวเด็กออกมาด้วย
- ทารกในครรภ์หรือทารกแรกเกิดมีความผิดปกติของหัวใจ
- มีความผิดปกติของสายสะดือ
สิ่งอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือการมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของสมองพิการได้เช่นกัน
ปัจจัยที่อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองพิการ ได้แก่
- การคลอดเด็กพร้อมกันหลายคนต่อครั้ง เช่น การคลอดทารกฝาแฝด
- เกิดความเสียหายกับรก
- การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ของมารดา
- การบริโภคแอลกอฮอล์ ยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย หรือได้รับสารพิษในระหว่างการตั้งครรภ์
- การขาดสารอาหารในระหว่างตั้งครรภ์
- ความผิดปกติแบบสุ่มของสมองของทารกในครรภ์
- กระดูกเชิงกรานของมารดามีขนาดเล็กเกินไป
- การคลอดทารกในท่าเอาก้นออกมาก่อนศีรษะ
ความเสียหายของสมองที่เกิดขึ้นหลังการคลอด
การที่สมองได้รับความเสียหายหลังจากคลอดออกมาพบว่ามีสัดส่วนที่น้อยมาก กรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการติดเชื้อ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การบาดเจ็บที่ศีรษะ อุบัติเหตุจากการจมน้ำ หรือการเป็นได้รับสารพิษ
ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อสมองหลังการคลอด ความเสียหายนี้จะเกิดขึ้นหลังจากคลอดทันที เมื่ออายุมากขึ้นสมองของคนเราจะมีความยืดหยุ่นและสามารถทนต่อความเสียหายมากขึ้น
อาการของโรคสมองพิการ
ทารกที่พิการทองสมองในส่วนซีรีบรัมพิการจะมีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว รวมถึงสภาวะกล้ามเนื้อไม่ดี สภาวะกล้ามเนื้อไม่ดี หมายถึงความสามารถในการหดตัวและคลายตัวกล้ามเนื้อโดยอัตโนมัติของบุคคล เมื่อมีความจำเป็น
สภาวะกล้ามเนื้อไม่ดี มีภาวะดังนี้
- มีกล้ามเนื้อมากเกินไป หรือกล้ามเนื้อไม่พัฒนา ซึ่งจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อหรือโคลงเคลง
- การประสานงานและความสมดุลไม่ดีเรียกว่า การเสียสมดุล (ataxia)
- การเคลื่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจ (การบิดงอและการคลายตัวช้า)
- กล้ามเนื้อแข็งที่หดตัวผิดปกติเรียกว่าอัมพาตกระตุก
- คลานในลักษณะที่ผิดปกติ
- นอนราบในท่าที่ดูแล้วอึดอัด
- ชอบใช้ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายมากกว่าอีกด้านหนึ่ง
- เคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด
อาการอื่นๆ ที่อาจพบ ได้แก่
- คลานหรือพูดได้ช้ากว่าวัย ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ความสำเร็จด้านพัฒนาการของเด็ก
- มีปํญหาเรื่องการได้ยินและสายตา
- มีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกระเพาะปัสสาวะ และลำไส้
- มีอาการชัก
- น้ำลายไหล และมีปัญหาเกี่ยวกับการป้อนอาหาร การดูดและการกลืน
- ตกใจง่าย
โดยปกติจะเริ่มแสดงอาการให้เห็นในช่วง 3 ปีแรกของเด็ก
การรักษาโรคสมองพิการ
ไม่มีวิธีรักษาโรคสมองพิการ การรักษาสามารถช่วยได้เพียงการจัดการกับอาการที่เกิดขึ้น และเพิ่มการเคลื่อนที่ของเด็กให้สามารถเคลื่อนไหวได้เพิ่มมากขึ้น
เมื่อเด็กได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองพิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและคณะจะช่วยดูแลความต้องการของเด็กสมองพิการเหล่านั้น คณะทำงานอาจรวมถึงแพทย์ กุมารแพทย์ นักบำบัดการพูด และนักจิตวิทยาการศึกษา เป็นต้น
แผนการดูแลส่วนบุคคลจะช่วยตอบสนองความต้องการของเด็กและครอบครัวได้ เมื่อเด็กโตขึ้น จะได้รับการทบทวนปรับแก้แผนการดูแลให้ความเหมาะสมกับความต้องการของผู้ป่วย
การรักษาจะขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ การช่วยให้เด็กพิการทางสมองได้รับความเป็นอิสระให้มากที่สุด
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cerebral-palsy/symptoms-causes/syc-20353999
- https://www.ninds.nih.gov/Disorders/Patient-Caregiver-Education/Hope-Through-Research/Cerebral-Palsy-Hope-Through-Research
- https://www.healthline.com/health/cerebral-palsy
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก