ไซโตเมกะโลไวรัส (Cytomegalovirus) เป็นไวรัสเริมที่พบได้บ่อย ผู้ติดเชื้อหลายคนมักไม่มีอาการของโรค แต่ไวรัสที่อยู่ในร่างกายอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้
ไวรัสแพร่กระจายภายในของเหลวของร่างกาย และในกรณีตั้งครรภ์เชื้อสามารถถูกส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ได้
บางครั้งอาจพบ HCMV, CMV หรือ human herpesvirus 5 (HHV-5) แต่ไซโตเมกะโลไวรัสเป็นไวรัสที่ติดต่อได้บ่อยที่สุดในกรณีที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา
สาเหตุของโรคไซโตเมกะโลไวรัส
โรคไซโตเมกะโลไวรัสเกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างมนุษย์ผ่านของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำลาย น้ำอสุจิ เลือด ปัสสาวะ ของเหลวในช่องคลอด และน้ำนมแม่ นอกจากนี้การรับเชื้อยังอาจมาจากการสัมผัสกับพื้นผิวที่มีไวรัสอยู่ อย่างด้านในของจมูก หรือปาก
ผู้ติดเชื้อไวรัสในช่วงวัยเด็กบางคนอาจเกิดการติดเชื้อขณะอยู่ในศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และสถานที่อื่น ๆ ที่เด็ก ๆ สัมผัสใกล้ชิดกัน อย่างไรก็ดีตามปกติวัยนี้จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่สามารถจัดการกับการเชื้อไวรัสได้ดี
โรคไซโตเมกะโลไวรัสที่เกิดซ้ำอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากเอชไอวี การปลูกถ่ายอวัยวะ การทำเคมีบำบัด หรือการรับประทานสเตียรอยด์นานกว่า 3 เดือน
โรคไซโตเมกะโลไวรัสแต่กำเนิดมักเกิดจากแม้ติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ หรือช่วงเวลาไม่นานก่อนตั้งครรภ์ แต่บางครั้ง โรคไซโตเมกะโลไวรัสที่เกิดระหว่างตั้งครรภ์เกิดนากแม่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง
อาการของโรคไซโตเมกะโลไวรัส
อาการจะขึ้นอยู่กับชนิดของไซโตเมกะโลไวรัส และรูปแบบของการรับเชื้อ
คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส จะไม่มีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน แต่หากมีอาการ มักมีอาการดังนี้:
- ไข้
- เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
- ความเหนื่อยล้า และไม่สบายใจ
- เจ็บคอ
- ต่อมบวม
- ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
- ความอยากอาหารลดลง และน้ำหนักลด
โดยทั่วไปอาการจะหายไปภายใน 2 สัปดาห์
ไซโตเมกะโลไวรัสที่เกิดซ้ำใหม่
อาการของไซโตเมกะโลไวรัสที่เกิดซ้ำอาจไม่เหมือนเดิม เนื่องจากอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสแตกต่างกัน บริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อ ได้แก่ ดวงตา ปอด หรือระบบย่อยอาหาร
อาการอาจรวมถึง:
- ไข้
- ท้องร่วง แผลในทางเดินอาหาร และเลือดออกในทางเดินอาหาร
- หายใจถี่
- โรคปอดบวมที่มีลักษณะขาดออกซิเจน หรือออกซิเจนในเลือดต่ำ
- แผลในปากขนาดใหญ่
- ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เห็นภาพลอย มีจุดบอด และการมองเห็นภาพไม่ชัด
- ตับอักเสบ หรือตับติดเชื้อ ทำให้เกิดอาการไข้เป็นเวลานาน
- โรคไข้สมองอักเสบ หรือสมองอักเสบ ทำให้เกิดอาการชัก และโคม่า(Coma)ได้
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและมีอาการที่กล่าวมานี้ควรรีบไปพบแพทย์
ไซโตเมกะโลไวรัสที่เป็นมาแต่กำเนิด
จากข้อมูลของ National CMV Foundation พบว่าทารกประมาณ 90% เกิดมาพร้อมกับไซโตเมกะโลไวรัสโดยไม่มีอาการป่วยใด ๆ แต่ 10-15% ของเด็กที่ติดเชื้อจะสูญเสียการได้ยินไปประมาณ 6 เดือนแรกของชีวิต ความของการได้ยินอาจมีเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรงจนสูญเสียการได้ยินทั้งหมด
ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กที่ติดเชื้อไวรัสจะมีผลต่อหูเพียงข้างเดียว แต่เด็กคนอื่น ๆ มักสูญเสียการได้ยินในหูทั้งสองข้าง การสูญเสียการได้ยินของหูทั้งสองข้างอาจทำให้เด็กมีปัญหาการพูดและการสื่อสารในภายหลังได้
การมีอาการของไซโตเมกะโลไวรัสตั้งแต่กำเนิด มักรวมถึง:
- ดีซ่าน
- โรคปอดอักเสบ
- รอยจุดใต้ผิวหนัง
- ผิวหนังเป็นสีคล้ำ มีผื่น หรือเป็นทั้ง 2 อย่าง
- ตับโต
- ม้ามโต
- น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่ามาตรฐาน
- อาการชัก
อาการบางอย่างนั้นสามารถรักษาได้
ไซโตเมกะโลไวรัสจะส่งผลกระทบต่อสมองประมาณ 75% ของทารกที่ติดเชื้อมาตั้งแต่เกิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบอื่น ๆ ในชีวิตได้
การรักษาโรคไซโตเมกะโลไวรัส
นักวิทยาศาสตร์คิดค้นวัคซีนไซโตเมกะโลไวรัส และยังไม่มีวิธีรักษาอาการโรคไซโตเมกะโลไวรัสโดยเฉพาะ
ผู้ที่ติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสเป็นครั้งแรก สามารถใช้ยาบรรเทาอาการปวดได้เองโดยไม่ต้องรอแพทย์สั่ง (OTC) เช่น ไทลีนอล (อะซิตามิโนเฟน) ไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน เพื่อบรรเทาอาการปวด และควรดื่มน้ำมาก ๆ
ผู้ที่ติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดการติดเชื้อซ้ำสามารถใช้ยาต้านไวรัส เช่น แกนซิโคลเวียร์เพื่อชะลอการแพร่กระจายของไวรัสได้
ยาเหล่านี้มักมีผลข้างเคียง หากเกิดความเสียหายกับอวัยวะต่าง ๆ มาก อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ทารกแรกเกิดอาจต้องอยู่ในโรงพยาบาลจนกว่าการทำงานของอวัยวะจะกลับมาเป็นปกติ
การป้องกันโรคไซโตเมกะโลไวรัส
การปฏิบัติอย่างระมัดระวังจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส ได้ดังต่อไปนี้:
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการจูบเด็กเล็ก รวมทั้งการสัมผัสน้ำตา และน้ำลายโดยตรง
- หลีกเลี่ยงการใช้แก้ว และเครื่องใช้ในครัว ร่วมกัน เช่น การดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกัน
- ทิ้งผ้าอ้อม ผ้าเช็ดหน้า กระดาษ และสิ่งของที่ใช้งานลักษณะคล้ายกันอย่างระมัดระวัง
- ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ ไซโตเมกะโลไวรัสผ่านทางช่องคลอด และน้ำอสุจิ
ผู้ปกครองเด็กที่เป็นโรคไซโตเมกะโลไวรัสควรรีบพาเด็กเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา หรือนัดหมอเพื่อทำการรักษา เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพการได้ยิน
การวินิจฉัยโรคไซโตเมกะโลไวรัส
การตรวจเลือดสามารถตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อการติดเชื้อของไซโตเมกะโลไวรัส
คนท้องมีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิดการติดเชื้อโรคไซโตเมกะโลไวรัสซ้ำ แต่หากเกิดการติดเชื้อจะผลต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ได้ หากแพทย์สงสัยว่าคุณแม่ติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัสอาจพิจารณาเจาะน้ำคร่ำ เพื่อตรวจสอบ
หากแพทย์สงสัยว่าเด็กเป็นโรคไซโตเมกะโลไวรัส แพทย์จะทดสอบทารกภายใน 3 สัปดาห์แรกของชีวิต การทดสอบนานกว่านั้นจะไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคไซโตเมกะโลไวรัสแต่กำเนิดหรือไม่ เนื่องจากทารกอาจติดเชื้อไวรัสหลังคลอด
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรได้รับการทดสอบ แม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม การตรวจติดตามภาวะแทรกซ้อนของโรคไซโตเมกะโลไวรัสเป็นประจำจะรวมถึงการทดสอบปัญหาการมองเห็น และการได้ยิน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไซโตเมกะโลไวรัส
ผู้ที่มีสุขภาพดีมักไม่ค่อยมีอาการของโรคไซโตเมกะโลไวรัสมากนัก
แต่ในกรณีของผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแออาจติดเชื้อไซโตเมกะโลไวรัส โมโนนิวคลิโอซิส ได้เป็นภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวมากเกินไป
อาการอื่น ๆ เช่น เจ็บคอ ต่อมบวม ต่อมทอนซิลบวม เหนื่อยง่าย และคลื่นไส้ อาจทำให้เกิดการอักเสบของตับหรือตับติดเชื้อ และม้ามโต
เชื้อไซโตเมกะโลไวรัส โมโนนิวคลิโอซิส คล้ายกับ เชื้อโมโนนิวคลิโอซิสแบบทั่วไป เกิดจาก Epstein-Barr Virus (EBV) EBV โมโนนิวคลิโอซิสเรียกอีกชื่อว่าไข้และต่อมน้ำเหลืองโต
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของโรคไซโตเมกะโลไวรัส ได้แก่
- ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ท้องร่วง เป็นไข้ ปวดท้อง ลำไส้อักเสบ และเลือดออกในอุจจาระ
- ปัญหาการทำงานของตับ
- ภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) เช่นโรคไข้สมองอักเสบ หรือสมองอักเสบ
- ปอดอักเสบหรือเนื้อเยื่อปอดติดเชื้อ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/cmv/symptoms-causes/syc-20355358
- https://www.nhs.uk/conditions/cytomegalovirus-cmv/
- https://www.webmd.com/hiv-aids/guide/aids-hiv-opportunistic-infections-cytomegalovirus
- https://kidshealth.org/en/parents/cytomegalovirus.html
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก