โรคคอตีบ (Diphtheria) คือ โรคติดต่อชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการติดเชื้อในจมูก และลำคอ
อาการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนของโรคนี้ คือ มีเยื่อสีเทาๆ ติดเคลือบอยู่ในลำคอ ส่วนหลังอาการเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลเสียถึงแก่ชีวิตได้
โรคคอตีบคืออะไร
โรคคอตีบเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่จมูกและลำคอที่ติดต่อได้มาก ต้องขอบคุณการฉีดวัคซีนเป็นประจำที่ทำให้โรคคอตีบเป็นโรคในอดีตในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก ในผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคคอตีบ การติดเชื้ออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ปัญหาเส้นประสาท หัวใจล้มเหลว Heart failure และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยรวมแล้ว ผู้ที่ติดเชื้อคอตีบจะเสียชีวิต 5-10 % ในผู้ติดเชื้อบางคนที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี หรืออายุมากกว่า 40 ปี จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 20 %
สาเหตุของโรคคอตีบ
โรคคอตีบเป็นโรคเกิดจากการติดเชื้อจุลินทรีย์ Corynebacterium diphtheriae หรืออาจมีพาหะเป็นแบคทีเรียแกรมบวกอื่นๆ เช่น Corynebacterium diphtheriae แต่พบได้น้อย
แบคทีเรียเหล่านี้บางสายพันธุ์สร้างสารพิษ และเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงที่สุดของโรคคอตีบ แบคทีเรียสร้างสารพิษ เนื่องจากตัวมันเองติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่เรียกว่า Phage
สารพิษที่ถูกปล่อยออกมาจะส่งผลดังนี้
-
ยับยั้งการผลิตโปรตีนของเซลล์
-
ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณที่ติดเชื้อ
-
กระตุ้นการสร้างพังผืด
-
เข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปทั่วเนื้อเยื่อของร่างกาย
-
ทำให้เกิดการหัวใจอักเสบ และเส้นประสาทได้รับความเสียหาย
-
จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และผลิตโปรตีนในปัสสาวะ
โรคคอตีบ เป็นโรคติดต่อระหว่างมนุษย์ โดยติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส
-
หายใจเอาละอองฝอยที่ปนเปื้อนเชื้อในอากาศ
-
สารคัดหลั่งจากจมูกและลำคอ เช่น น้ำมูก และน้ำลาย
-
แผลติดเชื้อที่ผิวหนัง
-
วัตถุอื่นๆ เช่น เครื่องนอน หรือเสื้อผ้าที่ผู้ติดเชื้อเคยใช้ ซึ่งพบได้น้อย
เชื้อสามารถแพร่กระจายจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไปยังเยื่อเมือกในคนอื่นได้ ส่วนมากจะติดเชื้อที่เยื่อบุจมูก และลำคอ
อาการของโรคคอตีบ
โรคคอตีบอาการ และสัญญาณเฉพาะนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของแบคทีเรียที่เกี่ยวข้อง และตำแหน่งของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ
โรคคอตีบชนิดหนึ่งซึ่งพบมากในเขตร้อน ทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังมากกว่าการติดเชื้อทางเดินหายใจ
กรณีเหล่านี้มักมีความร้ายแรงน้อยกว่ารูปแบบเดิม (การติดเชื้อทางเดินหายใจ) ที่อาจนำไปสู่การเจ็บป่วยที่รุนแรงและบางครั้งอาจเสียชีวิตได้
รูปแบบดั้งเดิมของโรคคอตีบคือ การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่เกิดจากแบคทีเรีย มีการสร้างแผ่นเยื่อเทียมสีเทา หรือสิ่งปกคลุมที่มีลักษณะเป็นเยื่อบุผิวเหนือเซลล์ที่บุท่อจมูกและลำคอรอบๆ บริเวณต่อมทอนซิล
ลักษณะของการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น ก่อนที่เยื่อเทียมจะปรากฏขึ้น ได้แก่
-
ไข้ต่ำ ไม่สบายตัว และไม่มีแรง
-
ต่อมบวมที่คอ
-
อาการบวมของเนื้อเยื่ออ่อนที่คอทำให้มีลักษณะคล้ายคอวัว (Bull neck)
-
มีน้ำมูก
เด็กที่ติดเชื้อคอตีบในโพรงหลังจมูกและปาก มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
-
หนาวสั่น ปวดศีรษะ และมีไข้
หลังจากผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียครั้งแรกจะมีระยะฟักตัวโดยเฉลี่ย 5 วัน ก่อนที่จะมีเริ่มมีสัญญาณ และแสดงอาการของโรคออกมาให้เห็น
หากติดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นพิษ หลังจากอาการเริ่มแรกปรากฏ ภายใน 12 – 24 ชั่วโมง เยื่อเทียม (pseudomembrane) จะเริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งนำไปสู่
-
อาการเจ็บคอ
-
กลืนลำบาก
-
หายใจลำบากเนื่องจากมีสิ่งกีดขวาง
ถ้าพังผืดขยายไปถึงกล่องเสียง อาจมีเสียงแหบและไอเสียงก้อง (barking cough) มากขึ้น เป็นสัญญานอันตราย เนื่องจากทางเดินหายใจถูกอุดตันอย่างสิ้นเชิง พังผืดนี้อาจขยายออกไปตามระบบทางเดินหายใจไปยังปอด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคอตีบ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตอาจเกิดขึ้นได้หากสารที่เป็นพิษเข้าสู่กระแสเลือดและทำลายเนื้อเยื่อสำคัญอื่น ๆ
Myocarditis คือ การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียมากขึ้นจะมีความเป็นพิษต่อหัวใจสูงขึ้น
โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่ปรากฏให้เห็นเฉพาะบนจอภาพเครื่องตรวจหัวใจ แต่อาจทำให้เสียชีวิตได้อย่างกะทันหัน
ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมักเกิดขึ้น 10 – 14 วัน หลังจากเริ่มติดเชื้อ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าปัญหาจะปรากฏ ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจที่เกี่ยวข้องกับโรคคอตีบ ได้แก่
-
มีการเปลี่ยนแปลงบนจอภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
-
หัวใจห้องบนและห้องล่างแยกตัวออก (atrioventricular dissociation) ซึ่งส่งผลให้ห้องของหัวใจหยุดเต้นพร้อมกัน
-
การนำไฟฟ้าจากหัวใจห้องบน ไปยังหัวใจห้องล่าง ช้าลงหรือถูกขัดขวางอย่างสิ้นเชิง( heart block) ทำให้โดยที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าเดินทางข้ามหัวใจ
-
ภาวะหัวใจห้องล่างซึ่งเกี่ยวข้องกับการเต้นของห้องล่างที่ผิดปกติ
-
ภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจจะไม่สามารถรักษาความดันโลหิตและการไหลเวียนได้
เส้นประสาทอักเสบ หรือเส้นประสาทถูกทำลาย
เส้นประสาทอักเสบ คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อประสาทที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาท ภาวะแทรกซ้อนนี้ค่อนข้างผิดปกติ และมักเกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างรุนแรงด้วยโรคคอตีบ โดยโรคสามารถมีการพัฒนาได้ดังนี้
-
ในสัปดาห์ที่ 3 ของการเจ็บป่วย จะเริ่มมีอาการอัมพาตของเพดานอ่อน
-
หลังจากสัปดาห์ที่ 5 จะมีอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อตา แขนขา และกะบังลม
-
ปอดบวม และการหายใจล้มเหลว ซึ่งอาจเกิดจากการเป็นอัมพาตของกะบังลม
การติดเชื้อที่ตำแหน่งอื่นที่ทำให้เกิดโรคที่มีความรุนแรงน้อยกว่า
การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นร่วมกับการติดเชื้อที่ผิวหนัง และอาจไม่มีความแตกต่างจากโรคผิวหนังอักเสบ(eczema) โรคสะเก็ดเงิน หรือ โรคแผลพุพอง (impetigo) อย่างไรก็ตามโรคคอตีบในผิวหนัง สามารถทำให้เกิดแผลที่ไม่มีผิวหนังตรงกลางมีขอบชัดเจน และบางครั้งก็มีเยื่อสีเทา
เยื่อเมือกอื่นๆ อาจติดเชื้อจากโรคคอตีบได้ เช่น เยื่อบุตา เนื้อเยื่ออวัยวะเพศของผู้หญิง และช่องหูภายนอก
การวินิจฉัยโรคคอตีบ
สำหรับการวินิจฉัยโรคคอตีบจะเริ่มด้วยการซักประวัติและความเสี่ยง แพทย์จะสังเกตการที่ผู้ป่วยมีภาวะโรคคอตีบเมื่อเห็นเยื่อหุ้มที่มีลักษณะเฉพาะเป็นการยืนยันการวินิจฉัย หรือผู้ป่วยมีอาการคออักเสบที่ไม่สามารถอธิบายได้ ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม และมีไข้ต่ำ
นอกจากนี้ยังมีอาการเสียงแหบ อัมพาตของเพดานปาก หรือการมีเสียงฮี้ด (เสียงหายใจแหลมสูง)
ตัวอย่างเนื้อเยื่อที่นำมาจากผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคคอตีบ สามารถนำมาใช้ในการคัดแยกเชื้อ จากนั้นนำไปเพาะเลี้ยง เพื่อระบุชนิดและทดสอบความเป็นพิษ
-
ตัวอย่างเนื้อเยื่อจากจมูกและลำคอ
-
ตัวอย่างเนื้อเยื่อจากลำคอ
-
ตัวอย่างเนื้อเยื่ออื่นๆ
จากนั้นเนื้อเยื่อจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อคัดหาเชื้อโรค
การรักษาโรคคอตีบ
การรักษาโรคจะได้ผลดีที่สุด หากรักษาตั้งแต่ระยะแรก ดังนั้นการวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยาต้านพิษที่ใช้ไม่สามารถต่อสู้กับพิษของโรคคอตีบได้ หากโรคนี้ทำลายเนื้อเยื่อไปแล้ว
โดยทั่วไปการรักษาที่มุ่งยับยั้งผลกระทบของแบคทีเรียประกอบด้วย
-
ยาต่อต้านพิษ (Antitoxin) – หรือที่เรียกว่าเซรุ่มต่อต้านคอตีบ – เพื่อต่อต้านสารพิษที่ปล่อยออกมาจากแบคทีเรีย
-
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) – erythromycin หรือ penicillin เพื่อกำจัดแบคทีเรียและหยุดการแพร่กระจาย
ผู้ป่วยที่เป็นโรคคอตีบทางเดินหายใจ และมีอาการที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะถูกแยกออก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ไปจนกว่าการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียจะไม่พบอีกหลังจากการใช้ยาปฏิชีวนะเสร็จสิ้น
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก