ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า (Gastroparesis) เป็นภาวะทางการแพทย์ที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของอาหารจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้เล็ก
โดยเกิดขึ้นเมื่อการหดตัวของกระเพาะอาหารทำงานไม่สมบูรณ์ ซึ่งบางครั้งถูกเรียกว่ากระเพาะอาหารอัมพาต
ในระหว่างกระบวนย่อยอาหารการหดตัวของกระเพาะจะช่วยเคลื่อนย้ายอาหารที่ย่อยแล้วจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็ก ซึ่งในช่วงนี้จะเกิดการกระบวนย่อยและการดูดซึมสารอาหาร แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นภาวะดังกล่าวกระบวนการที่เกิดขึ้นจะไม่สมบูรณ์
ภาวะนี้จะรบกวนการทำงานของกระเพาะ อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำตาลในเลือดและภาวะทางโภชนาการผิดปกติ
ภาวะนี้เกิดขึ้นในผู้ชายประมาณ 10 คนและผู้หญิง 40 คนในทุก ๆ 100,000 คน แต่ในสหรัฐ ฯ ผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คนมีอาการคล้ายกับภาวะดังกล่าว
สาเหตุของกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
อาการของภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้าอาจส่งผลอาการทั้งแบบรุนแรงและไม่รุนแรง
แต่ในผู้ป่วยบางรายยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่ทั้งนี้ก็มีปัจจัยบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้
ซึ่งได้แก่:
-
เส้นประสาทวากัสได้รับความเสียหาย หรือการผ่าตัด
-
โรคเบาหวานที่ไม่มีการควบคุม
-
ยาบางชนิด เช่น ยาแก้โรคซึมเศร้า (Tricyclic Antidepressants), สารสกัดกั้นแคลเซียม (Calcium Channel Blockers), โคลนิดีน (Clonidine), โดปามีนอะโกนิสต์ (Dopamine Agonists), ลิเทียม (Lithium), นิโคติน (Nicotine) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
-
ปัจจัยจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) , โรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม (MS), โรคอะไมลอยโดซิส (Amyloidosis) และ โรคสเคลอโรเดอร์มา (Scleroderma)
-
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร
-
การติดเชื้อไวรัส
-
การรักษาทางการแพทย์ เช่น การฉายรังสี
-
ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
-
ความผิดปกติทางจิตใจ
-
ความผิดปกติด้านการรับประทานอาหาร
-
โรคมะเร็ง
-
เคมีบำบัด
-
การใช้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น โคเดอีน (Codeine)
-
ยาที่มีฤทธิ์ต้านโคลีเนอร์จิค (Anticholinergic) ซึ่งปิดกั้นกระแสประสาท
ในบางครั้งที่ไม่ทราบสาเหตุของการเกิดภาวะ กรณีนี้เรียกว่าภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้าแบบไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic Gastroparesis) ซึ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะเกิดภาวะนี้ ได้แก่ ผู้หญิงช่วงวัยรุ่นและผู้หญิงวัยกลางคน
อาการของกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
สำหรับอาการที่เกิดขึ้นได้แก่:
- อาการเสียดแสบร้อนบริเวณหน้าอก หรือ กรดไหลย้อน (GERD)
- คลื่นไส้ หรืออาเจียนจากกรณีอาหารไม่ย่อย
- รู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ
- ปวดท้องหรือท้องอืด
- ความอยากอาหารลดลง
- น้ำหนักลดเนื่องจากปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับต่ำ
อาการที่เกิดมักจะแย่ลงเมื่อรับประทาน เช่น อาหารที่มีลักษณะแข็ง อาหารที่มีไขมันสูงและอาหารที่มีเส้นใยสูง หรือ เครื่องดื่มที่มีไขมันสูงหรือมีฟอง
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้าไม่เพียงแค่เป็นภาวะที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
เช่น:
-
การขาดน้ำอย่างรุนแรงเนื่องจากอาเจียน
-
การขาดสารอาหาร เป็นผลมากระบวนการดูดซึมที่ไม่สมบูรณ์
-
ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ
-
อาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการย่อยหรือย่อยไม่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถรวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง ในบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
-
การเจริญเติบโตของแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร เป็นผลมาจากอาหารที่ไม่ย่อย
-
คุณภาพชีวิตลดลง
การรักษาหรือการเยียวยาตามธรรมชาติ
การบำบัดทางเลือกอาจช่วยบรรเทาได้
ซึ่งรวมถึงการฝังเข็ม (Acupuncture), การกดจุด(Acupressure), การตอบสนองทางชีวะ (Biofeedback), การสะกดจิต (Hypnotherapy), การใช้ขิงและยาป้องกันอาการคลื่นไส้ทางผิวหนัง
เคล็ดลับการรับประทานอาหาร
การปรับเปลี่ยนการรับประทารอาหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่เป็นภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า ซึ่งมีวิธีการดังนี้:
-
รับประทานอาหารแต่ละมื้อในปริมาณน้อย ๆ แต่ถี่ขึ้น
-
หลีกเลี่ยงผักและผลไม้ดิบ
-
หลีกเลี่ยงผักและผลไม้ที่มีเส้นใยสูง
-
รับประทานอาหารที่มีลักษณะเหลว เช่น ซุปหรืออาหารบด
-
รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
-
ดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร
-
ออกกำลังกายเบา ๆ หลังมื้ออาหาร เช่น การเดิน
-
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีฟอง การสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
ไม่ควรนอนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
การปรับเปลี่ยนเพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยผู้ป่วยที่เป็นภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้าได้
การรักษาภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
การรักษามักจะรวมถึงการหาสาเหตุที่แท้จริงของโรค ซึ่งการรักษาทางการแพทย์บางครั้งทำได้เพียงบรรเทาอาการของโรคได้ เช่น ทำให้ท้องว่าง
-
ยาแก้อาการคลื่นไส้ เช่น โปรคลอเปอราซีน (Prochlorperazine), ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) และ ไธเอธิลเปอราซีน (Thiethylperazine) หรือ ออนแดนเซทรอน (Ondansetron)
-
ยาเพิ่มการหดตัวของกระเพาะอาหาร เช่น เมโตคลอปราไมด์ (Metoclopramide)
-
บางครั้งอาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อีริย์โธรมัยซิน (Erythromycin)
-
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin)
-
การกระตุ้นกระเพาะอาหารด้วยไฟฟ้า ซึ่งเป็นขั้นตอนการผ่าตัดขั้วไฟฟ้าซึ่งติดอยู่กับกระเพาะอาหารเพื่อให้เกิดกระตุ้นทำให้เกิดการหดตัว
-
ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องใช้หลอดให้อาหาร หรือ ให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
หากท่านใดคิดว่าตัวเองกำลังมีอาการของภาวะนี้ ควรปรึกษากับแพทย์เพื่อประเมินและรับการรักษา
การวินิจฉัย
ภายหลังการตรวจสอบอาการและการตรวจร่างกาย แพทย์อาจแนะนำการทดสอบและขั้นตอนบางอย่างเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
ซึ่งขั้นตอนและการทดสอบได้แก่ :
-
การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Upper GI): โดยใช้ท่ออ่อนพร้อมกล้องส่อง เพื่อตรวจสอบระบบทางเดินอาหารส่วนบนและเพื่อค้นหาบริเวณที่ผิดปกติ
-
การถ่ายภาพรังสี ซึ่งรวมถึงการใช้ CT สแกน, MRI สแกน และอัลตราซาวนด์
-
การตรวจระบบทางเดินอาหารด้วยการกลืนแป้ง (Upper GI series): เรียกอีกอย่างว่าการเอกซเรย์แบเรียม หรือการกลืนแบเรียม ซึ่งการทดสอบนี้รวมถึงการดื่มของเหลวที่เคลือบทางเดินอาหารแล้วทำการเอกซเรย์ วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นบริเวณที่ผิดปกติ เช่น การอักเสบ, การติดเชื้อ, มะเร็ง และไส้เลื่อน
-
การศึกษาการการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร (Gastric Emptying Study): เป็นขั้นตอนการตรวจทางเวชศาสตรนิวเคลียร ช่วยให้สามารถประเมินอัตราการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารเมื่อมีอาหารในลักษณะแข็งหรือของเหลว
-
การทดสอบการหายใจ (Breath Test): หลังจากดื่มน้ำที่มีน้ำตาล ปริมาณของก๊าซที่ร่างกายเผาผลาญจะถูกวัดค่าจากตัวอย่างของลมหายใจ
-
ตรวจวัดการทำงานของทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastric manometry:): การทดสอบนี้จะประเมินค่าไฟฟ้า การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งกระบวนการจะอาศัยท่อบาง ๆ ส่งผ่านปากและเข้าไปในกระเพาะอาหาร
-
การบันทึกไฟฟ้าในกระเพาะอาหาร (Electrogastrography): เป็นการทดสอบที่วัดกิจกรรมไฟฟ้าในกระเพาะอาหารโดยใช้ขั้วไฟฟ้าที่วางอยู่บนผิวหนัง
-
ยาเม็ดอัจฉริยะ (The smart pill): เป็นแคปซูลไร้สายเพื่อทดสอบและประเมินการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและความเร็วในการย่อยอาหาร โดยจะทดสอบค่า pH, อุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงความดัน
-
การตรวจ Scintigraphic Gastric Accommodation: เป็นการวัดปริมาณกระเพาะอาหารทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหารโดยใช้สารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งการมีอาหารตกค้างในกระเพาะมากกว่าร้อยละ 10 หลังการย่อยใน 4 ชั่วโมง ก็จะเป็นไปตามเกณฑ์สำหรับผู้ที่เป็นภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
-
การเอกซเรย์ลำไส้เล็ก: โดยทั่วไปแล้วการทดสอบนี้จะใช้เพื่อตรวจหาการอุดตันของลำไส้ ซึ่งอาจทำให้เกิดการย่อยในกระเพาะอาหารล่าช้า โดยอาการนี้อาจทำให้เกิดความสับสนกับภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
ขอเท็จจริงเกี่ยวกับภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า
-
ในบางครั้งยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของภาวะนี้ แต่ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม (MS) และเคมีบำบัด
-
เกิดอาการต่าง ๆ ได้แก่ อาการเสียดท้องหรือกรดไหลย้อน และท้องอืด
-
เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ การขาดน้ำและสารอาหาร
-
สามารถดูแลตัวเองจากภาวะนี้โดยทั่วไป ได้แก่ การจำกัดอาหารแต่ละมื้อให้มีปริมาณน้อยแต่รับประทานให้ถี่ขึ้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องอืด
-
มีการรักษาสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ทางเลือกขึ้นอยู่กับอาการ และเงื่อนไขอื่น ๆ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15522-gastroparesis
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/gastroparesis/symptoms-causes/syc-20355787
-
https://www.webmd.com/digestive-disorders/digestive-disorders-gastroparesis
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก