แม้ว่าสูตรลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วนโดยส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องของการควบคุมอาหาร หรือการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การติดตามปริมาณแคลอรี่ การอดอาหารเป็นช่วงๆ และการลดการบริโภคอาหารที่เป็นแป้ง (Carbs) เป็นเพียงส่วนหนึ่งในคำแนะนำ แต่ในบทความนี้ เราจะแนะวิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผล โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม 9 วิธี ดังนี้
1. การลดน้ำหนักแบบ IF (Intermittent fasting)
การลดน้ำหนักแบบ IF เป็นรูปแบบของการรับประทานอาหารที่เกี่ยวข้องกับการอดอาหารระยะสั้นเป็นประจำ และมีช่วงเวลาที่รับประทานอาหารสั้นๆ ในแต่ละวัน
มีงานวิจัยจำนวนมากระบุว่า การอดอาหารเป็นช่วงสั้นๆ ในระยะสั้น 24 สัปดาห์ สามารถนำไปสู่การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน โดยวิธีการอดอาหารเป็นระยะ ๆ ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- อดอาหารแบบสลับวัน (ADF): อดอาหารวันเว้นวัน และรับประทานตามปกติในวันที่ไม่ได้อดอาหาร
- อดอาหารด้วยวิธี 5:2 : อดอาหาร 2 วัน ในทุกๆ 7 วัน ในวันที่อดอาหารสามารถรับประทานได้ 500-600 แคลอรี่
- อดอาหารด้วยวิธี 16/8 : อดอาหาร 16 ชั่วโมง และรับประทานเฉพาะในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ มักจะอดอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง จะเริ่มตั้งแต่ปริมาณเที่ยงวันถึง 20:00 น.
2. การนับแคลอรี่ และการออกกำลังกาย
การลดน้ำหนักก็ควรระวังทุกอย่างที่รับประทาน และดื่มในแต่ละวัน การที่จะทำให้วิธีนี้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้คือ การบันทึกรายการอาหารที่บริโภคอาจจะจดโน๊ต หรือใช้แอพพลิเคชั่นออนไลน์
สำหรับแอพพลิเคชั่นสำหรับควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนักได้รับความนิยมมาก ปรากฎการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล เนื่องจากการติดตามกิจกรรม และความคืบหน้าในการลดน้ำหนักในระหว่างลดน้ำหนัก จะทำให้เราสามารถการจัดการการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รับประทานอาหารอย่างมีสติ
การรับประทานอาหารอย่างมีสติเป็นแนวทางปฏิบัติที่ผู้สนใจลดน้ำหนัก ให้ความสนใจกับวิธีการรับประทานอาหาร และสถานที่ที่รับประทานอาหาร โดยจะส่งผลให้เพลิดเพลินกับอาหารที่รับประทาน และสามารถควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการรับประทานอาหารอย่างเพลิดเพลิน และมีสติมีดังนี้
- การนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะ ต้องให้ความสนใจ และเพลิดเพลินกับอาหารที่กำลังรับประทานให้ได้มากที่สุด
- หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิขณะรับประทานอาหาร เช่น อย่าดูทีวี หรือเล่นโทรศัพท์ เป็นต้น
- รับประทานช้าๆ ใช้เวลาในการเคี้ยว และลิ้มรสอาหาร เทคนิคนี้ช่วยในการลดน้ำหนัก เนื่องจากทำให้สมองบอกร่างกายว่าอิ่มแล้ว และจะไม่รับประทานอาหารมากจนเกินไป
- พิจารณาเลือกอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารบำรุง และสามารถทำให้อิ่มได้ไปนานหลายชั่วโมง
4. รับประทานโปรตีนมากๆ ในมือเช้า
โปรตีนสามารถควบคุมฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความอยากอาหาร โดยคนเราจะอิ่มเมื่อมีการลดลงของฮอร์โมนเกรลิน (ความหิว) และการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน Peptide YY, GLP-1 และ Cholecystokinin ที่เพิ่มขึ้น
มีการวิจัยพบว่า ผลของฮอร์โมนจากการรับประทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนสูงจะทำให้รู้สึกอิ่มไปได้นานหลายชั่วโมง
ทางเลือกที่ดีสำหรับอาหารเช้าที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ ข้าวโอ๊ต เนยถั่ว และเมล็ดพืช รวมไปถึงควินัว ปลาซาร์ดีน และพุดดิ้งเมล็ดเจีย เป็นต้น
5. ลดน้ำตาล และแป้งขัดสี
อาหารตะวันตกส่วนมากจะมีระดับน้ำตาลมาก และสิ่งนี้สัมพันธ์กับโรคอ้วนอย่างชัดเจน หากเป็นไปได้เราควรเปลี่ยนอาหารแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเปลี่ยนเป็นอาหารเหล่านี้
- ธัญพืชโฮลเกรน ขนมปัง และพาสต้า แทนข้าวขาว
- ผลไม้ ถั่ว และเมล็ดพืช แทนขนมที่มีน้ำตาลสูง
- ชาสมุนไพร และน้ำเชื่อมผลไม้ แทนน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง
- สมูทตี้ น้ำ หรือนม แทนน้ำผลไม้
6. รับประทานไฟเบอร์มากๆ ลดความอ้วนได้
ใยอาหาเป็นคาร์โบไฮเดรตรที่ไม่สามารถย่อยในลำไส้เล็กได้ ต่างจากน้ำตาล และแป้ง การเพิ่มใยอาหาร (Fiber) จำนวนมากในอาหารสามารถเพิ่มความรู้สึกอิ่มนานที่ดีต่อการลดน้ำหนักได้
อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์หรือใยอาหาร ได้แก่
- อาหารเช้าซีเรียลโฮลเกรน พาสต้าโฮลวีต ขนมปังโฮลเกรน ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์
- ผลไม้ และผัก
- ถั่ว และพัลส์
- ถั่วและเมล็ด
7. รักษาสมดุลแบคทีเรียในลำไส้
งานวิจัยใหม่ๆ พบว่า บทบาทของแบคทีเรียในลำไส้มีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก ลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์จำนวนมาก และหลากหลาย รวมทั้งแบคทีเรียประมาณ 37 ล้านล้านตัว
อาหารบางที่สามารถเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ได้ มีดังนี้:
- พืชผักหลากหลายชนิด : การเพิ่มปริมาณผักผลไม้ และธัญพืชในอาหารจะส่งผลให้ได้รับเส้นใยเพิ่มขึ้น และได้รับแบคทีเรียในลำไส้มีความหลากหลายมากขึ้น ถ้าจะให้ดีควรรับประทานผักผลไม้ในแต่ละมื้อราวๆ 75% ของอาหารทั้งหมด
- อาหารหมักดอง : สามารถช่วยเสริมการทำงานของแบคทีเรียที่ดี ในขณะที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดีด้วย ตัวอย่างเช่น กะหล่ำปลีดอง กิมจิ โยเกิร์ต เทมเป้ และมิโซะ เป็นต้น ทั้งหมดมีโปรไบโอติกในปริมาณที่ดี ซึ่งช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดี มีบางงานวิจัยพบว่ากิมจิมีฤทธิ์ต้านโรคอ้วน
- อาหารพรีไบโอติก: สิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต และกิจกรรมของแบคทีเรียที่ดีบางชนิดที่สามารถช่วยควบคุมน้ำหนัก โดยพรีไบโอติกปกติเพบได้ในผัก และผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะรากชิโครี่ อาร์ติโชก หัวหอม กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง กระเทียมหอม กล้วย และอะโวคาโด นอกจากนี้ยังพบในธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต และข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น
8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า การนอนหลับน้อยกว่า 5-6 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มจะทำให้ความเสี่ยงโรคอ้วนเพิ่มขึ้น มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เป็นเช่นนี้ มีการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หรือมีคุณภาพต่ำจะทำให้กระบวนการที่ร่างกายจะเปลี่ยนแคลอรีเป็นพลังงานช้าลง หรือเรียกว่า เมแทบอลิซึมช้าลง เมื่อระบบเผาผลาญมีประสิทธิภาพน้อยลง ร่างกายจะเก็บพลังงานที่ไม่ได้ใช้ไว้เป็นไขมัน อีกทั้งการนอนหลับที่ไม่ดียังช่วยเพิ่มการผลิตอินซูลิน และคอร์ติซอล ซึ่งจะทำให้เก็บไขมันได้รวดเร็วอีกด้วย
9. ควบคุมระดับความเครียด
ความเครียดสามารถกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน เช่น อะดรีนาลีน และคอร์ติซอล ซึ่งมีผลต่อความอยากอาหาร รวมทั้งมีผลในการตอบสนองของร่างกายในการต่อสู้ หรือหนี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามีความเครียดอย่างต่อเนื่อง คอร์ติซอลจะสามารถอยู่ในกระแสเลือดได้นานขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความอยากอาหาร และอาจนำไปสู่การรับประทานอาหารมากขึ้น
คอร์ติซอลจะส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการที่ร่างกายต้องการอาหารหลัก ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรต
บทสรุป
สิ่งสำคัญคือ โปรดจำไว้ว่าไม่มีวิธีการลดน้ำหนักใด ที่ให้ผลได้อย่างรวดเร็ว วิธีที่ดีที่สุดในการลดความอ้วนให้แข็งแรง คือ การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และสมดุล ซึ่งควรประกอบด้วยผักและผลไม้ 10 ส่วน รวมทั้งโปรตีนคุณภาพดี และธัญพืชไม่ขัดสี และควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรง และหุ่นที่ผอมเพรียว
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก