อินซูลิน (Insulin) : วิธีใช้ และข้อควรระวัง

อินซูลิน (Insulin) : วิธีใช้ และข้อควรระวัง

02.10
1230
0

อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่ปลดปล่อยให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้เซลล์ได้รับพลังงานในการทำงาน ภาวะขาดอินซูลิน คือ ขั้นตอนหนึ่งของการเกิดโรคเบาหวาน

ฮอร์โมนเป็นสารเคมีที่กำหนดให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อบางชนิดทำงานในลักษณะเฉพาะของร่างกาย อินซูลินจึงจำเป็นต่อการมีชีวิต

อินซูลินคือ อะไร

อินซูลินคือ สารเคมีที่ช่วยให้เซลล์ดูดซึมกลูโคสซึ่งเป็นน้ำตาลที่อยู่ในเลือด

ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณด้านหลังกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอินซูลินที่สำคัญของร่างกาย กลุ่มเซลล์ในตับอ่อนที่เรียกว่า Islet ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน และควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด

หากระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น อินซูลินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้น เพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

อินซูลินยังช่วยสลายไขมัน หรือโปรตีนเพื่อให้กลายเป็นพลังงาน

ความสมดุลของอินซูลิน และระดับน้ำตาลในเลือด และกระบวนการต่างๆในร่างกายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน หากระดับอินซูลินต่ำ หรือสูงเกินไป น้ำตาลในเลือดอาจมาก หรือน้อยเกินไป จนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้

ปัญหาของอินซูลิน

ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบางคนอาจโจมตีเซลล์ตับอ่อนจนหยุดผลิตอินซูลิน หรือผลิตได้ไม่เพียงพอ

เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดก็จะสูง และเซลล์ก็จะไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้

ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ซึ่งผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานประเภทนี้จะต้องได้รับอินซูลินเป็นประจำเพื่อให้มีชีวิตรอด

บางคนโดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักมาก อ้วน หรือไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้งานอินซูลินก็จะไม่มีประสิทธิภาพทั้งในส่งกลูโคสเข้าสู่เซลล์ และทำให้เซลล์ไม่สามารถทำงานได้ เมื่ออินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อเนื้อเยื่อได้ จะเรียกภาวะนี้ว่าภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน

โรคเบาหวานประเภทที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอที่จะเอาชนะกับภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน

ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 แพทย์สามารถแยกอินซูลิน และทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบฉีด เพื่อเสริมระดับฮอร์โมนให้กับผู้ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เอง  หรือมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินมากขึ้น

ประเภทของอินซูลิน

การแบ่งอินซูลินประเภทต่าง ๆ จะพิจารณาตามระยะเวลาในการทำงานของอินซูลิน

การจัดประเภทอินซูลินจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้:

  • ความเร็วในการทำงานของอินซูลินเมื่อรับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
  • อัตราสูงสุด หรือความเร็วที่อินซูลินส่งผลกระทบต่อร่างกายมากที่สุด
  • ระยะเวลาหรือเวลาที่อินซูลินเกิดหยุดการทำงาน
  • ความเข้มข้น โดยทั่วไปประมาณ 100 หน่วยต่อมิลลิลิตร (U100)
  • เส้นทางการเข้าสู่ร่างกาย อย่างการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือเข้าปอดโดยการสูดดม

คนส่วนใหญ่มักนำอินซูลินเข้าไปในร่างกายผ่านเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อไขมันที่อยู่ใกล้ผิวของผิวหนัง

อินซูลินมี 3 กลุ่มคือ

อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว

ร่างกายดูดซึมสารชนิดนี้ผ่านทางกระแสเลือดเมื่อเข้าสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ที่ใช้อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว มักใช้เพื่อแก้ไขระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง รวมทั้งการใช้เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร

อินซูลินประเภทนี้ ประกอบด้วย:

Rapid-Acting Insulin Analogs: ใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 15 นาทีจึงจะมีผล ขนาดของยาส่งผลต่อระยะเวลาของการออกฤทธิ์ โดยทั่วไปการออกฤทธิ์ภายใน 4 ชั่วโมงจะยังเป็นระยะที่ปลอดภัย

Regular Human Insulin: การออกฤทธิ์ของอินซูลินชนิดนี้จะนานประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และจะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่อไปอีกประมาณ 8 ชั่วโมง ปริมาณที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการทำงาน และรักษาระดับอินซูลินให้เป็นปกติได้นานขึ้น

Insulin

อินซูลินที่ออกฤทธิ์ระดับกลาง

อินซูลินชนิดนี้จะเข้าสู่กระแสเลือดในอัตราที่ช้าลง แต่ให้ผลการรักษาที่นานกว่า มีประสิทธิภาพในการจัดการระดับน้ำตาลในเลือดได้นานข้ามคืน และในระหว่างมื้ออาหาร

อินซูลินที่ออกฤทธิ์ระดับกลาง ได้แก่ :

NPH Human Insulin: ใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมง และจะมีประสิทธิภาพจุดสูงสุดภายใน 4 ถึง 6 ชั่วโมง และอาจอยู่ได้นานกว่า 12 ชั่วโมง บางกรณีแม้จะใช้ปริมาณที่น้อยมากก็สามารถให้ประสิทธิภาพที่กีได้ แต่ปริมาณที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มเวลาที่อินซูลินชนิดนี้มีประสิทธิภาพได้

Pre-Mixed Insulin: เป็นการผสมระหว่างอินซูลิน NPH และอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว ซึ่งผลที่ได้คือการออกฤทธิ์รวมกันระหว่างอินซูลินที่ออกฤทธิ์ระดับกลาง และอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว

อินซูลินที่ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน

อินซูลินที่ออกฤทธิ์ได้นาน เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะออกฤทธิ์ได้ช้า และมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ แต่ให้ผลการรักษา “ที่ระดับคงที่ได้นาน” ทำให้เกิดความคงที่ต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้นานเกือบทั้งวัน

จึงมีประโยชน์ในการรักษาได้นานเป็นวัน ทั้งในระหว่างมื้ออาหาร และช่วงที่ไม่ได้รับประทานอดอาหาร

Long-Acting Insulin Analogs เป็นอินซูลินชนิดเดียวในประเภทนี้ เริ่มออกฤทธิ์ประมาณ 1.5 ถึง 2 ชั่วโมง แต่อาจมีระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกัน โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 12 ถึง 24 ชั่วโมง

ภาพรวมของอินซูลิน

อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ และเนื้อเยื่อ ช่วยในการดูดซับพลังงาน รวมถึงการสลายไขมัน และโปรตีน

กลุ่มเซลล์ในตับอ่อนที่เรียกว่า Islets จะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้ เมื่อเซลล์ในร่างกายตอบสนองต่อคำสั่งได้ไม่ดี เรียกภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินจะเพิ่มขึ้น

บางคนพบว่าระบบภูมิคุ้มกันจะโจมตี Islets ให้หยุดการผลิตอินซูลิน และทำให้เกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 1 โรคเบาหวานประเภทที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน เกิดร่วมกับกระบวนการผลิตอินซูลินที่เพิ่มขึ้น โดยไม่ได้มีการเพิ่มกระบวนการผลิตอินซูลิน

ผู้คนสามารถรับอินซูลินเพื่อรักษาอาการของภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน มีทั้งอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็ว ปานกลาง และออกฤทธิ์นาน ขึ้นกับลักษณะอาการของผู้ป่วยว่าต้องการให้น้ำตาลในเลือดลดลงเร็วมากน้อยแค่ไหน และระยะเวลาที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *