โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) คือ ภาวะที่นำไปสู่อาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ และหูหนวกได้ ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถใช้วิธีการบรรเทาได้
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันสามารถเกิดขึ้นเนื่องจากความผิดปกติด้านโครงสร้างของหูชั้นใน หรือระดับของเหลวในหู อย่างไรก็ตามยังไม่มีงานวิจัยที่ชี้ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริง
หูชั้นในมีช่อง และโพรงที่เชื่อมต่อกันเรียกว่า Labyrinth ส่วนนอกของหูชั้นในเป็นที่ตั้งของ Bony labyrinth ภายในมีโครงสร้างเนื้อเยื่ออ่อนซึ่งเป็น Labyrinth ที่มีขนาดเล็กกว่า และมีรูปร่างคล้ายกัน
Labyrinth มีของเหลวที่เรียกว่า Endolymph และมีหน้าที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของของเหลว และส่งสัญญาณไปยังสมองผ่านกระแสประสาท
ส่วนต่าง ๆ ของหูชั้นในมีบทบาทในการรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆ ดังต่อไปนี้
- ตรวจจับความเร็ว
- ตรวจจับการเคลื่อนที่แบบหมุน
- ตรวจจับเสียง
เพื่อให้หูชั้นในทำงานได้เต็มที่ ความดัน ปริมาตรและองค์ประกอบทางเคมีของของเหลวจะต้องมีองค์ประกอบที่ถูกต้อง
อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยในบางกรณีสามารถเกิดได้อย่างกะทันหัน ภายใน 20 นาที จนถึง 24 ชั่วโมง อาการทั่วไปได้แก่
อาการวิงเวียน
เป็นอาการที่ชัดเจนที่สุดของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งอาการเวียนศีรษะสามารถเกิดร่วมกับอาการต่อไปนี้
- ความรู้สึกปั่นป่วน
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- เหงื่อออก
อาการวิงเวียนศีรษะอาจรบกวนกิจกรรมต่างๆ เช่น
- การขับรถ
- ใช้เครื่องจักรกล
- การปีนบันไดหรือนั่งร้าน
- การว่ายน้ำ
อาการเสียงรบกวนในหู (Tinnitus)
เกิดเสียงรบกวนในหูอย่างต่อเนื่องอาจคล้ายกับเสียงดังต่อไปนี้
- เสียงเรียกเข้า
- เสียงพึมพำ
- เสียงคำราม
- เสียงผิวปาก
- เสียงฟู่
ทั่วไปผู้ป่วยมักจะเป็นมากขึ้นในช่วงเวลาที่เงียบสงบ หรือเมื่อเกิดอาการเหนื่อยล้า
ภาวะการได้ยินเสื่อม
ผู้ที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ส่งผลให้อาจจะการสูญเสียการได้ยินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของโรค ผู้ป่วยอาจจะไวต่อเสียงดังมากขึ้น สุดท้ายแล้วคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้อาจจะสูญเสียการได้ยินในระยะยาว
ความวิตกกังวลความเครียด และภาวะซึมเศร้า
อาการทางจิตบางชนิดสามารถเกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน โดยไม่สามารถควบคุมสมดุลได้ อาจจะส่งผลต่อกิจวัตรประจำวัน
เมื่อการได้ยินแย่ลงเรื่อย ๆ ผู้ป่วยบางคนที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะสูญเสียความสามารถในการขับรถ และขาดโอกาสในการทำงาน เสรีภาพ รวมถึงการเข้าสังคมต่างๆ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์
ระยะของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มี 2 ระยะ โดยผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการเป็นระยะเวลานาน
อาการในช่วงเริ่มต้น
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันจะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะอย่างกะทันหัน และไม่สามารถควบคุมได้ ในระหว่างนี้จะมีการสูญเสียการได้ยิน แต่จะกลับสู่ภาวะปกติ เมื่ออาการเวียนศีรษะลดลง อาจรู้สึกอึดอัด และมีความรู้สึกแน่น หรือกดดัน นอกจากนี้ผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนเพลีย และรู้สึกว่าต้องนอนเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ผู้ป่วยอาจพบอาการเหล่านี้ร่วมด้วยในช่วงแรก
การรับประทานอาหาร
การเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทานโดยการรับประทานอาหารที่ลดการกักเก็บของเหลว เพราะการลดการกักเก็บของเหลวให้มีปริมาตรน้อยที่สุด จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการ
เคล็ดลับต่อไปนี้สามารถลดความรุนแรงของโรคได้
การรับประทานอาหารบ่อยขึ้น แต่น้อยลง: การกระจายมื้ออาหารอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน จะช่วยควบคุมของเหลวในร่างกายแทนที่จะกินอาหารมื้อใหญ่ 3 มื้อต่อวันให้แบ่งทานเป็นมื้อเล็ก ๆ 6 มื้อแทน
การลดปริมาณเกลือให้น้อยลง: ยิ่งคนเราบริโภคเกลือน้อยเท่าไหร่ร่างกายก็จะกักเก็บของเหลวได้น้อยลงเท่านั้น ควรหลีกเลี่ยงการเติมเกลือลงในมื้ออาหาร และงดอาหารฟาสต์ฟู้ด
ลดปริมาณแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์นั้นส่งผลเสียต่อปริมาณ และองค์ประกอบของของเหลวในหูชั้นใน
ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ผู้ที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงอากาศร้อน และตอนออกกำลังกาย
หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของ Tyramine: กรดอะมิโนชนิดนี้อยู่ในอาหารหลายประเภท ได้แก่ ตับไก่ เนื้อรมควัน ไวน์แดง ชีส ถั่ว และโยเกิร์ต อาจทำให้เกิดอาการไมเกรนได้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทดังกล่าว
การวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
แพทย์จะทำการซักถามอาการ และตรวจร่างกาย รวมถึงประวัติการรักษาโรค ประวัติครอบครัวของผู้ป่วย และพิจารณาอาการของโรค
ตัวอย่างข้อซักถาม ได้แก่
- ความรุนแรงของอาการ
- ความถี่ของอาการ
- ยาที่รับประทานอยู่
- ปัญหาเกี่ยวกับหู
- สุขภาพทั่วไป
- ประวัติการเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อหรือโรคภูมิแพ้
- ประวัติครอบครัวว่ามีปัญหาหูชั้นในบ้างหรือไม่
ภาวะการได้ยินเสื่อม
แพทย์จะทำการตรวจการได้ยิน (Audiogram) ด้วยเครื่องตรวจการได้ยิน (Audiometer) ที่มีความดัง และระดับเสียงที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยจะฟังด้วยหูฟัง และบอกว่าได้ยินเสียงหรือไม่ เป็นการตรวจสอบขอบเขตการได้ยิน
การประเมินความสมดุล
หลายคนที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะประสบปัญหาในการทรงตัว ความรู้สึกสมดุลอาจเกิดในช่วงที่มีอาการเวียนศีรษะ
การตรวจวัดแรงดันของน้ำในหูชั้นใน (Electrocochleography: ECoG)
แพทย์จะใช้น้ำอุ่น และน้ำเย็นหรืออากาศเข้าไปในช่องหู จากนั้นจะวัดการเคลื่อนไหวของดวงตา การตอบสนองที่ผิดปกติอาจบ่งบอกถึงปัญหาหูชั้นใน
การทดสอบด้วยเก้าอี้หมุน
จะทดสอบโดยให้ผู้ป่วยนั่งบนเก้าอี้ แพทย์จะวางอิเล็กโทรดไว้ใกล้ดวงตาของผู้ป่วย เก้าอี้จะค่อย ๆ หมุนไปมาด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน การเคลื่อนไหวจะกระตุ้นระบบสมดุลภายใน และทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของดวงตา สิ่งเหล่านี้จะถูกบันทึกด้วยกล้องอินฟาเรด เพื่อนำไปวิเคราะห์ต่อไป
การตรวจประสาทการทรงตัวในหูชั้นในโดยการวัดคลื่นไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อคอ (Vestibular evoked myogenic potentials testing: VEMP)
การทดสอบนี้เป็นการวัดการทำงานของเซ็นเซอร์บางตัวในหูชั้นในที่ตรวจจับการเร่งของความเร็ว
การทดสอบการทรงตัวด้วยเครื่อง Posturography
ผู้ป่วยจะสวมสายรัดนิรภัย ขณะเดียวกันจะยืนเท้าเปล่าบนแท่น และพยายามรักษาสมดุลภายใต้สภาวะต่างๆ
การทดสอบอื่นๆ
อาจจะมีการตรวจสอบเพื่อวินิจฉัยโรคที่มีอาการใกล้เคียงกันเพิ่มเติม เช่น เนื้องอกในสมอง หรือเส้นเลือดตีบ (MS) แพทย์อาจจะทำการสแกนต่อไปนี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบอาการของโรคเพิ่มเติม
- สแกน MRI
- สแกน CT
- ตรวจวัดการได้ยินในระดับก้านสมอง (Auditory brainstem response audiometry)
การรักษา โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
วิธีการรักษามีหลายวิธีที่สามารถบรรเทาอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถช่วยจัดการกับอาการบางอย่างได้
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มีความสัมพันธ์กับความเครียด และความวิตกกังวล อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าความเครียดและความวิตกกังวลทำให้เกิดอาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือไม่ แต่ทั้งนี้การลดความเครียดสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการได้ เช่น การทำโยคะ การนั่งสมาธิ และการเจริญสติ รวมทั้งการเลิกบุหรี่สามารถช่วยลดอาการของโรคได้
ยาสำหรับการรักษาอาการวิงเวียน
แพทย์อาจจะแนะนำยารักษาอาการวิงเวียน ดังต่อไปนี้
ยาแก้เมารถ (Motion sickness): ได้แก่ meclizine (Antivert) และ diazepam (Valium) สามารถช่วยลดความรู้สึกบ้านหมุนที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะเช่นเดียวกับอาการคลื่นไส้อาเจียน
ยาสำหรับอาการคลื่นไส้: Prochlorperazine (Compazine) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการคลื่นไส้ และอาการเวียนศีรษะ
ยาขับปัสสาวะ: ช่วยลดการกักเก็บของเหลวในร่างกาย แพทย์อาจสั่งให้ใช้ Triamterene และ Hydrochlorothiazide (Dyazide หรือ Maxzide)
การลดปริมาณของเหลวที่ร่างกายกักเก็บไว้ จะช่วยเพิ่มปริมาณของเหลวและความดันในหูชั้นใน เป็นผลให้ความรุนแรงและความถี่ของอาการลดลงได้
การฉีดยาที่หูชั้นกลาง
แพทย์สามารถฉีดยารักษาเข้าไปในหูชั้นกลางเพื่อให้อาการเวียนศีรษะดีขึ้น ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ Gentamicin (Garamycin) และสเตียรอยด์ เช่น Dexamethasone (Decadron)
การผ่าตัด
การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันแล้วรักษาด้วยวิธีข้างต้นไม่หาย
การผ่าตัด Endolymphatic sac: ศัลยแพทย์จะเอากระดูกเล็ก ๆ ออกจากรอบ ๆ Endolymphatic sac ซึ่งจะช่วยควบคุมแรงดันน้ำในหู หากการทำงานของส่วนนี้ไม่ถูกต้องอาจจะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
Labyrinthectomy: ศัลยแพทย์จะผ่าตัดนำส่วนหนึ่งของหูชั้นในออกเพื่อทำการรักษา
การผ่าตัดเส้นประสาทสมอง ส่วนที่ควบคุมการทรงตัว: ศัลยแพทย์จะผ่าตัดแก้ไขเส้นประสาทสมองส่วนที่ควบคุมการทรงตัว
สรุปอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน
หากอาการน้ำในหูไม่เท่ากันทำให้มีอาการเวียนศีรษะอย่างกะทันหัน อาจจะต้องนอนเป็นเวลานาน ทำให้พลาดกิจกรรมทางสังคม การพักผ่อน การทำงานหรือครอบครัว และกรมขนส่งของบางประเทศได้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่มีอาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ห้ามขับรถเด็ดขาด และไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยขับรถจนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการของโรคได้
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menieres-disease/symptoms-causes/syc-20374910
- https://www.healthline.com/health/menieres-disease
- https://www.nhs.uk/conditions/menieres-disease
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก