โรคคางทูม (Mumps) คือการติดเชื้อไวรัสที่ต่อมน้ำลายมักเกิดขึ้นในเด็ก อาการที่ชัดเจนที่สุดคือการบวมของต่อมน้ำลายส่งผลให้คางมีอาการบวมออกมา
สาเหตุของโรคคางทูม
คางทูมเกิดจากการติดเชื้อจากไวรัสคางทูม สามารถติดต่อโดยสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ (เช่นน้ำลาย) จากบุคคลที่ติดเชื้อ
โดยโรคคางทูมจะมีการแพร่กระจายเชื้อได้ดังนี้
- การไอหรือการจาม
- ใช้ช้อนส้อมและหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกับผู้ติดเชื้อ
- การจูบกับผู้ที่ติดเชื้อ
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสคางทูมสามารถแพร่เชื้อได้ 15 วัน (6 วันก่อนเริ่มแสดงอาการและไม่เกิน 9 วันหลังจากมีอาการ)
อาการของโรคคางทูม
โดยปกติอาการคางทูมจะแสดงอาการภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อ แต่ก็มีผู้ป่วยถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับเชื้อไวรัสแล้วไม่ได้แสดงอาการใด ๆ เลย
อาการเริ่มแรกของคางทูมอจจะคล้ายอาการของไข้หวัดใหญ่ ที่มีอาการดังนี้:
- ปวดเมื่อตามตัว
- ปวดศีรษะ
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
- รู้สึกอ่อนล้า
- มีไข้
หลังจากอาการเริ่มแรกของคางทูมเกิดขึ้นไม่กี่วัน อาการหลักคือต่อมน้ำลายบริเวณคางและแก้มจะมีอาการบวม และทำให้เกิดอาการเจ็บปวด
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องคือ:
- แก้มช่วงล่างมีอาการปวดบวม
- เจ็บปวดเมื่อกลืนอาหาร
- ไม่สามารถกลืนอาหารได้สะดวก
- มีไข้สูงกว่า 39 องศา
- ปากแห้ง
- เจ็บปวดบริเวณข้อต่อ
คางทูมสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ใหญ่ โดยอาการจะเหมือนกับคางทูมในเด็ก แต่บางครั้งอาจจะมีอาการข้างเคียงที่ร้ายแรงกว่า
อาการแทรกซ้อนของโรคคางทูม
อาการแทรกซ้อนนั้นมักจะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก โดยอาการจะแสดงให้เห็นดังนี้:
- อัณฑะบวมและมีอาการเจ็บ โดยอาการนี้มักเกิดขึ้น 1 ใน 5 ของผู้ชายที่เป็นโรคคางทูม โดยปกติอาการบวมจะลดลงภายใน 1 สัปดาห์
- รังไข่บวม อาการนี้เกิดขึ้นได้ 1 ใน 20 คน อาการบวมจะบรรเทาลงเมื่ออาการดีขึ้น
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส – นี่เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ยาก โดยมีสาเหตุเนื่องจากไวรัสแพร่กระจายทางกระแสเลือดและติดเชื้อที่ประสาทส่วนกลางของร่างกาย
- ตับอ่อนอักเสบ จะมีอาการปวดในช่องท้องส่วนบน อาการนี้จะเกิดขึ้น 1 ใน 20 รายและมักไม่รุนแรง
หากหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคคางทูมในช่วง 12-16 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์อาจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแท้งบุตรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ภาวะแทรกซ้อนของโรคคางทูมที่หายาก ได้แก่ :
- โรคไข้สมองอักเสบ – สมองบวม ปัญหาทางระบบประสาท ในบางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตได้ แต่เกิดขึ้นได้น้อยมาก คือ 1 ใน 6,000 ราย เท่านั้น
- การสูญเสียการได้ยิน – สามารถเกิดขึ้นได้แต่ยากมาก โดยเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 ใน 15,000 คน เท่านั้น
การรักษาโรคคางทูม
เนื่องจากคางทูมเป็นการติดเชื้อไวรัส จึงไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาได้ และในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่สามารถรักษาคางทูมได้
วิธีรักษาโรคคางทูมจะเป็นการรักษาตามอาการจนกว่าการติดเชื้อจะหมดไปและร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกัน เหมือนกับหวัด ในโดยทั่วไปแล้วคางทูมจะหายภายในเวลาสองสัปดาห์
วิธีบรรเทาและรักษาคางทูมเบื้องต้นคือ:
- ดื่มของเหลวมาก ๆ แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้เพราะจะกระตุ้นการผลิตน้ำลายทำให้เกิดอาการเจ็บบริเวณคางทูมได้
- ประคบเย็นบริเวณที่ปวดบวม
- รับประทานอาการอ่อน ๆ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ
- ทานยาแก้ปวด เช่นอะเซตามิโนเฟน หรือไอบูโพรเฟน
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mumps/symptoms-causes/syc-20375361
- https://www.nhs.uk/conditions/mumps
- https://www.healthline.com/health/mumps
- https://www.medicinenet.com/mumps/article.htm
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก