โรคเซโรโทนิน ซินโดรม (Serotonin Syndrome) : อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคเซโรโทนิน ซินโดรม (Serotonin Syndrome) : อาการ สาเหตุ การรักษา

19.05
2204
0

เซโรโทนิน ซินโดรม เกิดขึ้นเมื่อคนๆนั้นมีการรับประทานยาตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการสะสมของระดับเซโรโทนินมีมากเกินไปในร่างกาย

หากคนที่เป็นภาวะเซโรโทนินแล้วไม่ได้รับการรักษา อาการโณคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้และบางครั้งอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงรวมไปถึง:

  • อาการชัก
  • ไตวาย
  • ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
  • สูญเสียเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ

ในบทความนี้เราจะอธิบายถึงสาเหตุและอาการของโรคเซโรโทนิน ซินโดรม รวมไปถึงวิธีการวินิจฉัยโรคและการรักษา

เซโรโทนิน ซินโดรม คืออะไร 

โรคเซโรโทนิน ซินโดรม เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการสะสมเซโรโทนินในร่างกายที่มากเกินไป

เซโรโทนินคือ สารสื่อประสาทที่เป็นเซลล์จำเพาะที่ถูกสร้างอยู่ในสมอง ไขสันหลังและลำไส้ เซโรโทนินจะช่วยควบคุม:

  • อารมณ์และพฤติกรรม
  • ความจำ
  • การนอนหลับ
  • การทำงานและความต้องการทางเพศ
  • ระบบย่อยอาหาร
  • ความอยากอาหาร
  • การไหลเวียนของเลือด
  • อุณหภูมิของร่างกาย

การเกิดภาวะเซโรโทนิน ซินโดรม ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นจากการรับประทานยาร่วมกันมากเกินไป แต่ในบางรายก็อาจเกิดเซโรโทนิน ซินโดรมได้หลังการรับประทานยาเพียงตัวเดียวที่ไปเพิ่มระดับเซโรโทนินได้เช่นกัน

แพทย์เองก็ยังไม่อาจทราบสัดส่วนและช่วงเวลาที่แน่นอนของผู้ป่วยที่เป็นโรคเซโรโทนิน ซินโดรม ได้เพราะอาการของโรคนี้กว้างมากไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งทำให้ยากต่อการวินิจฉัย

จากบทความในปี 2019 เชื่อว่าแพทย์อาจไม่ได้มีการลงบันทึกว่าเป็นโรคเซโรโทนิน ซินโดรมได้บ่อยนักเพราะยังขาดความตระหนักรู้

จากหลักฐานพบว่าการเกิดเซโรโทนิน ซินโดรมนั้นเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการใช้ยาต้านเศร้าที่เพิ่มขึ้น

ตารางด้านล่างนี้คือการใช้ยาต้านเศร้าที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 1988 ถึง 2014 โดยมีข้อมูลมาจากทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ที่ใช้ยาต้านเศร้าในแต่ละช่วงปี

1988–1994 1999–2002 2011–2014
อายุ 18–44 ปี 1.6% 6% 8.8%
อายุ 45–64 ปี 3.5% 10.5% 17.5%
อายุ 65+ ปี 3.0% 9.3% 18.9%

สาเหตุ

เซโรโทนิน ซินโดรม มักเกิดขึ้นเมื่อมีการรับประทานยาหนึ่งอย่างหรือมากกว่า การทานอาหารเสริม หรือยาต้องห้ามที่อาจไปเพิ่มระดับของเซโรโทนิน

ยกตัวอย่างยาที่ไปเพิ่มระดับเซโรโทนินได้ เช่น:

ยาต้านอาการเศร้า

  • ยาต้านเศร้าเอสเอสอาร์ไอSSRIs
  • ยากลุ่ม serotonin and norepinephrine reuptake inhibitors (SNRIs)
  • ยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอ(MAOIs)
  • ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (TCAs)

ยารักษาอาการไมเกรน

  • ยาทริปแทน เช่น almotriptan (Axert) naratriptan (Amerge) และ sumatriptan (Imitrex)

ยากันชัก

  • คาร์บามาซีปีน (Tegretol, Equetro, Carbatrol)
  • วัลโปรอิก แอซิด (Depakene, Convulex, Valporal)

การแก้ปวดโอปิออยด์

  • ทามาดอล (Ultram)
  • ออกซิโคโดน (OxyContin, Percodan, Percocet)
  • ทาเพนทาดอล (Nucynta, Nucynta ER)

ยาแก้อาการคลื่นไส้

  • โดลาซีตรอน (Anzemet)
  • โทรพิซีตรอน (Navoban)
  • แกรนิซีตรอน (Sancuso)

ยาอื่นๆและสารบางชนิดที่อาจไปเพิ่มระดับของเซโรโทนิน เช่น:

  • ยาต้องห้าม ซึ่งรวมไปถึง เอ็กสตาซี่ โคเคนและแอมเฟตามีน
  • อาหารเสริมสมุนไพร เช่น เซนต์จอห์นเวิร์ตและโสม
  • เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (DXM) ที่เป็นส่วนผสมในยาแก้ไอและยาแก้หวัดที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ยาเดลซิม โรบิทัสซินและมูกซิเน็กซ์ ดีเอ็ม
  • ริโทนาเวีย (Norvir) ยาต้านริโทรไวรัส
  • ลิเทียม

Serotonin Syndrome

อาการและความรุนแรง

อาการของภาวะเซโรโทนิน ซินโดรม แกติมักเริามมีอาการหลังรับประทานยาเข้าไป 1-6 ชั่วโมงและมักหายไปเองเกือบหมดภายใน 24 ชั่วโมง

อาการของเซโรโทนิน ซินโดรม คือ:

  • รูม่านตาขยาย
  • ปากแห้ง
  • กระสับกระส่ายหรือร้อนรน
  • วิตกกังวล
  • สับสน
  • เห็นภาพหลอน
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ
  • ความดันเลือดเปลี่ยนแปลง
  • จังหวะหัวใจเต้นเร็วหรือโรคหัวใจเต้นเร็ว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องเสีย
  • กล้ามเนื้อหดเกร็ง

อาการรุนแรงที่อาจเกิดร่วมกับเซโรโทนิน ซินโดรม คือ:

  • อุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปหรือภาวะตัวร้อนเกิน
  • ภาวะสับสนเฉียบพลัน
  • กล้ามเนื้อเกร็งตัว

การวินิจฉัย

แพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะเซโรโทนิน ซินโดรมได้ด้วยการสอบถามประวัติโรคประจำตัว อาการ และยาที่กำลังรับประทานอยู่

แพทย์อาจใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคที่อาจมีอาการคล้ายกันกับเซโรโทนินออกไป เช่น ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและการติดเชื้อ

ตัวอย่างการทดสอบที่แพทย์สามารถเลือกมาใช้ในการวินิจฉัยเซโรโทนิน ซินโดรม เช่น:

  • การตรวจนับเม็ดเลือด
  • การตรวจแร่ธาตุและสารละลาย
  • การตรวจปัสสาวะหาค่า creatine 
  • การตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจการทำงานของไต ตับหรือไทรอยด์
  • ตรวจหาค่าแอลกอฮอล์และสารเสพติด
  • การสแกนสมอง
  • การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง

การรักษา

อาการของเซโรโทนิน ซินโดรมมักแก้ได้ด้วยตัวเองด้วยการหยุดทานยาหรือสารที่มีผลที่ทำให้เกิดปัญหา

คนที่มีอาการรุนแรงจากภาวะเซโรโทนิน ซินโดรมอาจต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและติดตามผลฃ

แพทย์อาจจะแนะนำให้มีการรักษาบางอย่างหรือหลายอย่างในคนที่มีอาการเซโรโทนินรุนแรง:

  • หยุดยาที่เป็นสาเหตุของการเกิดปฏิกิริยาทันที
  • รับยาเพื่อลดระดับเซโรโทนิน
  • รับยาเพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
  • ได้รับสารเหลวทางหลอดเลือดดำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดไข้สูง

การป้องกัน

แพทย์สามารถป้องกันภาวะเซโรโทนิน ซินโดรมได้ด้วยการเฝ้าติดตามคนที่มีความเสี่ยงจากยาและรักษาให้เกิดปฏิกิริยาความเสี่ยงที่น้อยที่สุดในคนที่รับประทานยาอยู่

เราสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเซโรโทนิน ซินโดรมได้ด้วยการรับรู้ความเสี่ยงและเฝ้าติดตามอยู่เสมอ

คนที่มีความเสี่ยงสำหรับเซโรโทนิน ซินโดรม เช่น:

  • คนที่เพิ่งได้รับยาที่เพิ่มระดับเซโรโทนินใหม่ๆหรือมีการเพิ่มปริมาณยามากขึ้น
  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งมากกว่าหนึ่งอย่าง สมุนไพรอาหารเสริมหรือยาต้องห้ามที่ไปเพิ่มระดับเซโรโทนิน
  • เป็นโรคไตในระยะสุดท้าย

ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับภาวะเซโรโทนิน ซินโดรม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมที่กำลังรับประทาน เพื่อเป็นการป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจเกิดปฏิกิริยาที่อาจเป็นอันตรายจากยา

บทสรุป

เซโรโทนิน ซินโดรม เกิดขึ้นเมื่อมีการรับประทานสสารอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเซโรโทนิน ซึ่งรวมไปถึงยาต้านอาการซึมเศร้า อาหารเสริมสมุนไพรบางชนิดและยาต้องห้ามบางอย่าง

คนที่มีอาการเซโรโทนิน ซินโดรม มักมีอาการภายใน 6 ชั่วโมงถึง 1 วันหลังรับประทานสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ

ภาวะนี้มักหายไปได้เองเมื่อหยุดทานยาที่เป็นสาเหตุของอาการ ภาวะเซโรโทนินมักไม่มีอาการจำเพาะเจาะจง ซึ่งทำให้ยากต่อการวินิจฉัย

ควรรีบปรึกษาแพทย์หากพบว่ามีอาการดังกล่าว

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *