โรคอะคาเลเซีย (Achalasia) : อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคอะคาเลเซีย (Achalasia) : อาการ สาเหตุ การรักษา

19.05
3507
0

โรคอะคาเลเซีย (achalasia) คืออาการผิดปกติที่เกิดขึ้นที่หลอดอาหาร หรือท่ออาหาร ทำให้เซลล์และกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้ อาจทำให้เกิดปัญหาเวลากลืนอาหาร โดยรู้สึกเจ็บหน้าอก และอาเจียน อาหารอาจตกไปยังปอด ทำให้เกิดปัญหาการไอ และการหายใจได้

โรคอะคาเลเซียอาจเกิดอาการที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบทางเดินอาหารไปจนถึงลำไส้ โรคลำไส้โป่งพองแต่กำเนิดเป็นโรคอะคาเลเซียชนิดหนึ่ง

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะคาเลเซียที่หลอดอาหารมักมีอายุระหว่าง 25–60 ปี จากรายงานของ American Journal of Gastroenterology พบว่ามีผู้ป่วยประมาณ 1 คนในทุก ๆ 100,000 คน และเกิดขึ้นในเพศชายและหญิงเท่า ๆ กัน

แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอะคาเลเซียที่ชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบวิธีรักษา แต่จะมีการรักษาเพื่อบรรเทาอาการอยู่

สาเหตุของโรคอะคาเลเซีย

โรคอะคาเลเซียที่หลอดอาหารเป็นโรคเรื้อรังของหลอดอาหารที่ทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลงอย่างช้าๆ

หลอดอาหารคือท่อเชื่อมต่อระหว่างคอกับกระเพาะอาหาร  ตำแหน่งของหลอดอาหารจะอยู่ระหว่างหลอดลมและกระดูกสันหลัง ยาวต่อลงไปจากคอจนถึงจุดเชื่อมต่อส่วนบนหรือส่วนปลายของหัวใจ

เมื่อคนกลืนลงไป กล้ามเนื้อในผนังหลอดอาหารจะหดตัวและดันอาหาร หรือของเหลวเข้าไปในกระเพาะอาหาร ต่อมภายในหลอดอาหารจะผลิตเมือกเพื่อรองรับการเคลื่อนไหวในขณะที่กลืนอาหาร

กรณีเป็นโรคอะคาเลเซียที่หลอดอาหาร หลอดอาหารจะไม่เปิดให้อาหารผ่านไปได้ เนื่องจากเกิดจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อเรียบที่บริเวณส่วนล่างของหลอดอาหาร

เมื่อกล้ามเนื้อเรียบไม่สามารถเคลื่อนย้ายอาหารได้จะเรียกอาการนี้ว่าอาการอุดกั้นทางเดินอาหารส่วนต้น

ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกได้ศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองจะเกิดถาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าโจมตีเซลล์ประสาทในกล้ามเนื้อหลอดอาหาร

ปรสิตที่เป็นสาเหตุของโรคชากาสก็เป็นสาเหตุของโรคอะคาเลเซียได้

ความผิดปกตินี้ไม่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ทุกกลุ่มชาติพันธุ์ล้วนมีความเสี่ยง

อาการของโรคอะคาเลเซีย

ในช่วงแรกอาการมักไม่รุนแรง และหายไปได้ง่าย ๆ  แต่หากปล่อยทิ้งไว้โรคอะคาเลเซียจะทำให้ผู้ป่วยกลืนอาหาร และของเหลวได้ยากขึ้น

อาการที่สามารถสังเกตเห็นได้แก่:

  • ภาวะกลืนลำบาก หรือกลืนอาหารได้ลำบาก
  • อาเจียนอาหาร และของเหลวหลังกลืนลงไป
  • ไอ โดยเฉพาะเมื่อนอนราบกับพื้น
  • เจ็บปวดบริเวณทรวงอก คล้ายกับอาการหน้าอกบ่อย ๆ อาการคล้ายกับอาการหัวใจวาย
  • หายใจลำบาก เมื่อกลืนอาหาร ของเหลว หรือน้ำลายตกเข้าไปในปอด

น้ำหนักลด มีปัญหาในการเรอ และรู้สึกมีก้อนเนื้อติดในลำคอ

ผู้ป่วยอาจพยายามแก้ไขอาการด้วยการกินอาหารให้ช้าลง ยกคอหรือเคลื่อนไหล่ไปข้างหลังเพื่อช่วยในการกลืน

หากปล่อยทิ้งไว้อาการมักแย่ลง

Achalasia

การรักษาโรคอะคาเลเซีย

วิธีการรักษาโรคอะคาเลเซียที่หลอดอาหารโดยตรงยังไม่มี รวมทั้งไม่มีวิธีที่จะฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาทให้สมบรูณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามยังมีวิธีที่สามารถลดระดับความรุนแรงของอาการได้

การรักษาด้วยยา

เมื่อแพทย์วินิจฉัยพบความผิดปกติของโรคที่เริ่มลุกลาม จใช้ยาเพื่อขยายส่วนที่แคบลงของหลอดอาหาร ทำให้อาหารสามารถผ่านไปได้สะดวกขึ้น

ตัวอย่างเช่น ยาปิดกั้นแคลเซียมและไนเตรต บางคนอาจรู้สึกปวดศีรษะ และเท้าบวม

การใช้ยาบางชนิดจะใช้เวลาไม่กี่เดือน และยาบางตัวอาจหมดประสิทธภาพหากใช้งานเป็นระยะเวลานาน ๆ แพทย์จึงต้องกำหนดวิธีการรักษาใหม่ต่อไป

การรักษาด้วยบอลลูนลม

ศัลยแพทย์ใช้บอลลูนเพื่อขยายช่องว่างของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง

ผู้ป่วยประมาณ 70% ที่รักษาด้วยวิธีบอลลูนจะสามารถบรรเทาอาการได้ ขั้นตอนนี้อาจต้องทำมากกว่า 1 ครั้ง ตามรายงานของ American Journal of Gastroenterology พบว่าผู้ป่วยประมาณ 30% ผู้เข้ารับการรักษาวิธีบอลลูนต้องได้รับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ผลข้างเคียงของวิธีการรักษา คือรู้สึกเจ็บหน้าอกทันทีหลังการรักษา และมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่หลอดอาหารจะทะลุ หากการเจาะเกิดขึ้นบุคคลจะต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม

การขยายบอลลูนยังนำไปสู่โรคกรดไหลย้อนในผู้ป่วยประมาณ 15–35%

การรักษาด้วยการผ่าตัดกล้ามเนื้อ

การผ่าตัดกล้ามเนื้อเป็นวิธีการรักษาเพื่อแก้ไขปัญหาการอุดตันของหลอดอาหาร

American Journal of Gastroenterology ระบุว่าการผ่าตัดกล้ามเนื้อมีอัตราสำเร็จ 60–94% แต่ก็พบว่า 31% ของผู้ป่วยที่ทำการรักษาอาจเกิดโรคกรดไหลย้อน หรือเนื้องอกหลังการผ่าตัดได้ ขึ้นกับวิธีการผ่าตัด

วิธีการผ่าตัดทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การผ่าตัดเปิดช่องท้อง การผ่าตัดด้วยกล้อง thoracoscopic การผ่าตัดผ่านกล้อง laparoscopic และการผ่าตัดเพื่อระงับความรู้สึก

การส่องกล้องตรวจทางช่องท้อง (POEM): ศัลยแพทย์ส่งมีดผ่าตัดไฟฟ้าผ่านกล้องเอนโดสโคป พวกเขาทำแผลในเยื่อบุหลอดอาหารและสร้างอุโมงค์ภายในผนังหลอดอาหาร

ขั้นตอนนี้ค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงยังไม่ทราบผลกระทบในระยะยาว

การรักษาด้วยการผ่าตัด Peroral endoscopy myotomy (POEM)

การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเข้าไปในช่องท้อง (POEM)  ศัลยแพทย์จะใช้มีดผ่าตัดไฟฟ้าผ่านกล้องเอนโดสโคป  เปิดแผลในเยื่อบุหลอดอาหารเพื่อสร้างช่องว่างในผนังหลอดอาหาร

ขั้นตอนนี้ค่อนข้างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาด้วยเทคโนโลยีใหม่ จึงยังไม่ทราบถึงผลกระทบในระยะยาว

การรักษาด้วยการฉีดโบท๊อกซ์

ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารพิษโบทูลินั่มหรือโบท็อกซ์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณหลอดอาหารส่วนปลาย

การฉีดโบท็อกซ์ใช้รักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถหรือไม่พร้อมที่จะรักษาด้วยการผ่าตัด การฉีดเพียงครั้งเดียวสามารถบรรเทาอาการได้นานถึง 6 เดือน และผู้ป่วยประมาณ 50% ต้องเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำ เมื่อผลการรักษาครั้งแรกเริ่มคลายลง

ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยผ่าตัดที่ปากแผลไม่ใหญ่มากจะใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล 24–48 ชั่วโมง จากนั้นผู้ป่วยจะกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้หลังการรักษา 2 สัปดาห์

กรณีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบเปิดอาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้น แต่ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ใน 2-4 สัปดาห์

หลังการผ่าตัดหรือขั้นตอนการรักษาบางประเภท แพทย์อาจสั่งจ่ายยาที่เรียกว่า proton pump inhibitor (PPI) เป็นยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในระบบย่อยอาหาร และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการกรดไหลย้อน

อาหารกับโรคอะคาเลเซีย

ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารเหลวในช่วง 2-3 วันแรกหลังการรักษา เมื่อความสามารถในการกลืนอาหารกลับมาเป็นปกติผู้ป่วยจึงกลับมารับประทานอาหารแข็งได้

ผู้ที่เป็นโรคอะคาเลเซีย ควรรับประทานอาหารช้า ๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และดื่มน้ำในระหว่างมื้ออาหารให้มาก ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารใกล้เวลานอน

การนอนโดยยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยสามารถช่วยเปิดหลอดอาหารให้ว่าง และลดความเสี่ยงของการอาเจียน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ :

  • ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
  • แอลกอฮอล์
  • คาเฟอีน
  • ช็อคโกแลต
  • ซอสมะเขือเทศ

สิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน อาหารทอด และเผ็ดยังส่งผลให้ระบบย่อยอาหารระคายเคือง และอาการของโรคแย่ลงได้

ไม่มีอาหารเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคอะคาเลเซีย แต่ผลการศึกษาในปี 2560 พบว่าอาหารที่มีเส้นใยต่ำสามารถลดขนาดของอาหารได้ ช่วยให้อาหารไหลผ่านหลอดอาหารได้ง่ายขึ้น

สรุปภาพรวมโรคอะคาเลเซีย

ขณะนี้นักวิจัยกำลังศึกษาโรคอะคาเลเซียอย่างละเอียด ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลทางพันธุกรรมและโรคหายากพบว่าผู้ป่วยประมาณ 90% จะมีอาการดีขึ้นในระยะยาวหลังเข้ารับการรักษา

บางครั้งศัลยแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดนำหลอดอาหารออกมาทั้งหมด ซึ่งพบในผู้ป่วยประมาณ 10-15%

หากพบว่าตนเองเริ่มมีปัญหาในการกลืน ควรรีบขอคำปรึกษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรีบแก้ไขอาการ

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *