โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) คือ โรคติดเชื้อแบคทีเรียแบบเฉียบพลันเกิดจากเชื้อ Bacillus anthracis พบได้ 3 ชนิด คือ เป็นแผลที่ปอด เป็นแผลที่ผิวหนัง หรือเป็นแผลที่ทางเดินอาหาร ขึ้นกับช่องทางการติดเชื้อ เชื้อแอนแทรกซ์มีความเกี่ยวข้องกับโปรแกรมการใช้เป็นอาวุธชีวภาพ ผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ทั่วโลกมากกว่าร้อยละ 95 เป็นชนิดแผลที่ผิวหนัง (Cutaneous anthrax)
สาเหตุของโรคแอนแทรกซ์
การติดเชื้อแอนแทรกซ์เกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis เข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ การกลืน การฉีดยา หรือการสัมผัสทางผิวหนัง
สปอร์ของโรคแอนแทรกซ์สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี หากเชื้อมีโอกาสเข้าสู่ร่างกาย จะยิ่งเจริญเติบโตเนื่องจากในร่างกายของมนุษย์มีน้ำตาล และสารอาหารต่างๆ ที่เชื้อต้องการในการเจริญเติบโต
โรคแอนแทรกซ์นั้นจะขัดขวางเส้นทางการส่งสัญญาณของเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน รวมถึงทำลายระบบภูมิคุ้มกัน และผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด
อาการของแอนแทรกซ์
โรคแอนแทรกซ์แต่ละช่วงเวลาของการพัฒนานั้นจะแสดงอาการแตกต่างกันไป โดยอาการจะสังเกตได้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ B. anthracis แต่อาการของโรคแอนแทรกซ์จากการสูดดมอาจใช้เวลามากกว่า 1 เดือนในการพัฒนา
โรคแอนแทรกซ์ที่สัมผัสทางผิวหนัง
เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุด โดยอาการทั่วไปมีดังนี้
-
ตุ่มคันเล็กๆ
-
อาการบวมที่ไม่เจ็บและตรงกลางบริเวณที่บวมมีจุดสีดำ
-
บริเวณต่อมน้ำเหลืองโต
หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ จากสถิติมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคนี้ 20% ของผู้ป่วยทั้งหมด
โรคแอนแทรกซ์ที่ติดเชื้อผ่านบริเวณทางเดินอาหาร
ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่สุก และอาหารที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อ
-
ปวดท้อง และท้องบวม
-
ท้องร่วง
-
ไข้ และหนาวสั่น
-
ใบหน้าและตาแดง
-
คอบวม
-
กลืนอาหารลำบาก
หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราการรอดชีวิต 60%
โรคแอนแทรกซ์ที่ติดจากการหายใจ
อาการเริ่มต้นได้แก่
-
ไม่สบายหน้าอก
-
คลื่นไส้และอาเจียน
-
กลืนแล้วเจ็บปวดในลำคอ
-
มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
และในระยะที่เชื้อฟักตัวแล้ว จะเกิดอาการดังต่อไปนี้
-
หายใจลำบาก
-
เลือดมีออกซิเจนต่ำ
-
ช็อก
หากไม่ได้รับการรักษาโดยฉุกเฉินจะมีโอกาสเสียชีวิตมากถึง 85-95%
โรคแอนแทรกซ์ที่ติดจากการใช้เข็มฉีดยา
อาการเริ่มต้นของโรคนี้ได้แก่
-
เกิดฝีรอบๆ บริเวณที่ฉีด
-
แผลพุพองและกระแทกรอบ ๆ บริเวณที่ฉีด
-
บวมใกล้บริเวณที่ฉีด พร้อมมีอาการเจ็บ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังระยะเริ่มต้น
-
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
-
อวัยวะล้มเหลว
-
ช็อก
อาการที่เกิดอาจจะคล้ายคลึงกับโรครุนแรงอื่นๆ จึงยากต่อการวินิจฉัย
การรักษาโรคแอนแทรกซ์
โรคแอนแทรกซ์ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดก่อนที่ระดับของสารพิษ และแบคทีเรียที่เป็นอันตรายภายในร่างกายจะเพิ่มจำนวนมากเกินไปกว่าที่จะจัดการได้
ในการรักษาโรคแอนแทรกซ์จะใช้ยาต้านจุลชีพเป็นหลัก เช่น ciprofloxacin, doxycycline, penicillin เพื่อกำจัดเชื้อในรูป vegetative bacillus นอกจากนี้มีการใช้วัคซีน (human anthrax vaccine) เพื่อป้องกันโรค มีทั้งชนิด acellular vaccine และ live spore vaccine และในเร็วๆ นี้อาจมีชนิด recombinant live vaccine และ recombinant sub-unit vaccine ออกใช้ ส่วนยากลุ่มใหม่ประเภท monoclonal antibody เช่น raxibacumab, obiltoxaximab มีการออกฤทธิ์ที่จำเพาะต่อโปรตีนบาง component ของท็อกซินจึงช่วยลดอาการและความรุนแรงของโรค ยาเหล่านี้ไม่มีฤทธิ์ต่อตัวเชื้อจึงไม่อาจใช้ทดแทนยาต้านจุลชีพ แต่นำมาใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพเพื่อรักษาโรคแอนแทรกซ์ทางเดินหายใจ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/anthrax/symptoms-causes/syc-20356203
-
https://www.health.ny.gov/diseases/communicable/anthrax/fact_sheet.htm
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก