โรคเซลิแอค (Celiac Disease) คือ ภาวะแพ้ภูมิตัวเองที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันเกิดการตอบสนองต่อกลูเตน กลูเตนคือกลุ่มโปรตีนที่พบได้ทั่วไปในธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์
ผู้ที่เป็นโรคเซลิแอค เมื่อสัมผัสกับกลูเตนจะเกิดอาการอักเสบที่ลำไส้ การสัมผัสซ้ำ ๆ จะยิ่งทำให้ลำไส้เล็กเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการดูดซึมแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ ของอาหารได้
โรคเซลิแอคพบในประชากรประมาณ 1 คนใน 100 คนทั่วโลก และหลายคนมีอาการโดยไม่รู้ตัว
วิธีเดียวในการรักษาผู้ที่เป็นโรคเซลิแอคคือการหลีกเลี่ยงอาการ หรือการไม่รับกลูเตนในอาหารเข้าไป
สาเหตุของโรคเชลิแอค
โรคเชลิแอคคือโรคแพ้ภูมิตัวเอง เมื่อผู้ป่วยกินกลูเตนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเข้าโจมตี และทำให้ลำไส้เล็กเสียหาย
เมื่อเวลาผ่านไป ความเสียหายของส่วนประกอบของลำไส้ที่ทำหน้าที่ดูดซับสารอาหารหรือที่เรียกว่า villi จะได้รับความเสียหาย ทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารลดลง นำไปสู่ปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ตามมา
โรคเชลิแอคสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน พบได้บ่อยในคนผิวขาว และเป็นเพศหญิง
นอกจากนี้ยังเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยพบว่าผู้ป่วยที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคเชลิแอคจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ถึง 1 ใน 10
โรคเชลิแอคพบได้บ่อยในผู้ที่มีอาการ เหล่านี้ :
- ดาวน์ซินโดรม
- กลุ่มอาการเทอร์เนอร์
- โรคเบาหวานประเภท 1
อาการของโรคเซลิแอค
อาการของโรคเซลิแอคมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนรุนแรง และอาการยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน
บางคนอาจไม่มีอาการใด ๆ หรือเกิดอาการเมื่ออายุมากขึ้น บางคนอาจไม่รู้ว่าเป็นโรคเซลิแอคจนเมื่อพวกเขาเกิดภาวะขาดสารอาหาร หรือโรคโลหิตจาง
เด็กมีแนวโน้มเกิดอาการทางเดินอาหารได้มากกว่าผู้ใหญ่ โดยมีอาการดังต่อไปนี้ :
- อาการปวดท้อง
- ท้องอืด
- มีแก๊สในกระเพาะอาการ
- ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องผูก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อุจจาระมีสีซีด และมีกลิ่นเหม็น
- อุจจาระมีไขมันปะปนมาด้วย
อาการของโรคเซลิแอคที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ได้แก่ :
- น้ำหนักลด
- รู้สึกเหนื่อยล้า
- ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- อาการปวดตามข้อ
- แผลในปาก
- ผื่นที่เรียกว่า อาการผิวหนังอักเสบจากโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
- ความเสียหายของเส้นประสาทบริเวณแขนขาที่เรียกว่าโรคระบบประสาทส่วนปลายซึ่งทำให้รู้สึกเสียวซ่าที่ขาและเท้า
คนที่เป็นโรคเซลิแอคอาจขาดสารอาหาร เนื่องจากความเสียหายของลำไส้ ทำให้การการดูดซึมสารอาหารทำได้น้อยลง เช่น วิตามิน B12, D และ K และด้วยเหตุผลนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคโลหิตจาง เนื่องจากขาดธาตุเหล็ก
นอกเหนือจากการขาดสารอาหารแล้วโรคเซลิแอค ยังส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อลำไส้ใหญ่ และอวัยวะอื่น ๆ ได้เล็กน้อย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแปรปรวนของอาการ ได้แก่:
- อายุ
- ความเสียหายของลำไส้เล็ก
- ปริมาณกลูเตนที่บริโภค
- อายุที่เริ่มบริโภคกลูเตน
หากผู้ป่วยกินนมแม่นานมากพอ อาการของโรคก็อาจปรากฏหลังเลิกรับประทานนมแม่ได้อีกนาน
ปัญหาด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่นการผ่าตัด การตั้งครรภ์ การติดเชื้อ หรือความเครียดที่รุนแรง อาจทำให้เกิดอาการของโรคเซลิแอค
อาการโรคเซลิแอคในเด็ก
โรคเซลิแอคจะทำให้เกิดข้อจำกัด หรือป้องกันไม่ให้ร่างกายของเด็กดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้เต็มที่ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาด้านพัฒนาการ หรือการเจริญเติบโต ได้แก่ :
- การเจริญเติบโตในทารกไม่เหมาะสมตามวัย
- การเจริญเติบโตช้า และความสูงน้อยเกินไป
- น้ำหนักลด
- สารเคลือบฟันเสียหาย
- การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ไม่มีความอดทน หรือขี้รำคาญ
- พัฒนาการทางเพศล่าช้า
หากเด็กได้เปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนมาตั้งแต่แรก เด็ก ๆ จะสามารถป้องกันปัญหาของโรคได้ ความเสียหายของลำไส้จะหายได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เมื่อไม่รับประทานอาหารที่มีกลูเตน
เมื่อเวลาผ่านไปเด็ก ๆ จะมีอาการทุเลาได้เอง และอาจไม่มีอาการของโรคเซลิแอคไปตลอดชีวิต
การวินิจฉัยโรคเซลิแอค
แพทย์จะวินิจฉัยโรคเซลิแอคโดยพิจารณาประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและครอบครัว อาจมีการทดสอบเพิ่มเติม อย่างการตรวจเลือด การตรวจลักษณะทางพันธุกรรม และการตรวจชิ้นเนื้อ
แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเซลิแอค รวมทั้งอาการแพ้กลูเตน และแอนติบอดีต่อเอนโดไมเซียล
เมื่อการตรวจวินิจฉัยและสงสัยว่ามีอาการของโรคเซลิแอค แพทย์อาจทำการตรวจชิ้นเนื้อในลำไส้เพื่อเติม โดยใช้ กล้อง endoscope เก็บตัวอย่างเยื่อบุของลำไส้ โดยปกติจะใช้เวลาพอสมควรเพื่อเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบ
โรคช่องท้องอื่น ๆ ที่อาจทำให้การวินิจฉัยโรคทำได้ยาก ได้แก่ :
- อาการลำไส้แปรปรวน
- โรคโครห์นในลำไส้เล็ก
- การแพ้แลคโตส
- การแพ้กลูเตน
- การเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้เล็ก
- ตับอ่อนไม่มีประสิทธิภาพ
การรักษาด้วยการควบคุมอาหาร
ผู้ป่วยโรคเซลิแอคที่ปรับเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนจะลดโอกาสการเกิดอาการของโรคได้มาก และผู้ป่วยมักสามารถสังเกตเห็นอาการที่ดีขึ้นได้ในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์
เด็กที่มีอาการลำไส้เล็กไม่ดีมักหายเป็นปกติได้ใน 3–6 เดือน ผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาอาจใช้เวลาหลายปี ลำไส้จึงจะหายดี ร่างกายจะสามารถกลับมาดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
การรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ในบางพื้นที่ของโลก เพราะมีอาหารตัวเลือกที่ปราศจากกลูเตนมากมาย
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าอาหาร และผลิตภัณฑ์บ้างที่มีกลูเตน ซึ่งนักโภชนาการสามารถตรวจสอบได้
อาหารที่ควรรับประทานและควรหลีกเลี่ยง
กลูเตนเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติพบในข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ ซีเรียล ธัญพืช และพาสต้า อาหารแปรรูปส่วนมากล้วนมีกลูเตน เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากธัญพืชอื่น ๆ ก็สามารถมีได้เช่นกัน
การตรวจสอบฉลากจึงสำคัญ อาจพบกลูเตนที่ไม่ได้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บางอย่างได้
อาหารที่ปราศจากกลูเตน ได้แก่ :
- เนื้อและปลา
- ผลไม้และผัก
- ธัญพืชบางชนิด ได้แก่ ข้าว ผักโขม ควินัว และบัควีท
- แป้งข้าวจ้าว
- ธัญพืช เช่น ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวฟ่าง และเทฟฟ์
- พาสต้า ขนมปัง ขนมอบ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ระบุว่า “ปราศจากกลูเตน”
นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดกลูเตนจากสูตรอาหารได้โดยการเปลี่ยนส่วนผสม และบางครั้งทำได้โดยการปรับเวลาและอุณหภูมิในการปรุงอาหาร
ในอดีตผู้เชี่ยวชาญโรคเซลิแอคจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงข้าวโอ๊ต แต่ภายหลังพบหลักฐานว่าข้าวโอ๊ตมีปริมาณกลูเตนในระดับปานกลางเท่านั้น จึงปลอดภัย แต่ต้องไม่ให้ข้าวโอ๊ตสัมผัสกับกลูเตนในระหว่างการแปรรูป
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุว่าผู้ผลิตไม่สามารถแสดงบนฉลากผลิตภัณฑ์ได้ว่าอาหารนั้น ๆ ปราศจากกลูเตน ยกเว้นเมื่อมีกลูเตนน้อยกว่า 20 ppm ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่สามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ดีกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลากนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
อาหารแปรรูปบางชนิดที่อาจมีกลูเตน ได้แก่ :
- ซุปกระป๋อง
- น้ำสลัด
- ซอสมะเขือเทศ
- มัสตาร์ด
- ซีอิ๊ว
- เครื่องปรุงรส
- ไอศครีม
- ลูกกวาด
- เนื้อสัตว์และไส้กรอกแปรรูปและกระป๋อง
ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร แต่อาจมีกลูเตน ได้แก่ :
- ยารักษาโรคบางชนิด
- ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามิน
- ยาสีฟัน
- เครื่องสำอาง ได้แก่ ลิปสติก ลิปกลอส และลิปบาล์ม
- ตราไปรษณียากร
- เวเฟอร์ที่ใช้ในพิธีถือศีลอด
คนทั่วไปก็ควรรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนหรือไม่?
อาหารที่ปราศจากกลูเตนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่จากผลการวิจัยพบว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่เป็นโรคโซดิแอดหรือภูมิแพ้กลูเตนแต่อย่างใด
ตามที่สถาบันโรคเบาหวานและระบบทางเดินอาหารและโรคไตแห่งชาติกล่าวว่า “ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าประชาชนทั่วไปควรรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตน เพื่อลดน้ำหนักหรือสุขภาพที่ดีขึ้น”
อาหารที่มีกลูเตนอาจเป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ ไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม จึงควรพิจารณาให้ดีก่อนหลีกเลี่ยง มิฉะนั้นอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้
คนส่วนมากพบว่าการกำจัดกลูเตนออกจากอาหาร จะเพิ่มการรักษาอาการของโรคบางอย่างได้ เช่นการรักษาลำไส้
หากเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากการใช้ยา เช่น diaminodiphenyl sulfone (Dapsone) การรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนจะช่วยลดอาการได้ เพราะเป็นการรักษาลำไส้ไปด้วย ดังนั้นการรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนจึงยังมีความสำคัญ
ผู้ที่เป็นโรคเซดิแอคอาจได้รับประโยชน์จากการเสริมสารอาหารอย่างวิตามิน และแร่ธาตุเพื่อป้องกัน หรือแก้ไขอาการข้อต่อบกพร่อง
นักวิจัยยังพบว่าการรักษาด้วยยาเพื่อลดอาการของโรคเซลิแอคจะให้ผลดีในระยะยาว
สรุปภาพรวมโรคเซลิแอค
โรคเซลิแอคเป็นภาวะแพ้ภูมิตัวเอง การสัมผัสกับกลูเตนจะทำให้ร่างกายโจมตีเซลล์ในลำไส้เล็ก ซึ่งยังไม่มีการรักษาที่เฉพาะ ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้โดยเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่ปราศจากกลูเตนแทน
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://celiac.org/about-celiac-disease/what-is-celiac-disease/
- https://medlineplus.gov/celiacdisease.html
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/celiac-disease/symptoms-causes/syc-20352220
- https://www.nhs.uk/conditions/coeliac-disease/
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก