การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ความดันโลหิตและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และเบาหวานประเภทที่ 2
แอลกอฮอล์คือ
แอลกอฮอล์มีคุณสมบัติเป็นยา “ยากล่อมประสาท” หมายความว่าความสามารถในการควบคุมร่างกาย และสมองจะช้าลง
ผลกระทบเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อการทำงานของร่างกายได้เป็นอย่างมาก เช่น คำพูด และการเคลื่อนไหว การดื่มในปริมาณมากในคราวเดียวอาจทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง และการหายใจลดลงจนถึงระดับที่เป็นอันตรายได้
กรณีที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจรู้สึกว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก แต่ไม่ได้แสดงว่าร่างกายไม่ได้รับผลกระทบบางอย่าง
จำไว้ว่ายิ่งดื่มมาก ยิ่งสร้างความเสียหายได้มาก
ผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวใจ
การกินเหล้าที่มากเกินไปเป็นประจำกับการมีความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์กันที่ชัดเจน ยิ่งปล่อยไปนาน ความดันโลหิตสูง จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตึงขึ้น และอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ (CVD) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ที่ดื่มเป็นประจำและบริโภคแอลกอฮอล์มาก ๆ มักได้รับคำแนะนำให้ลดหรือหยุดดื่มทันที
การดื่มแอลกอฮอล์อย่างปลอดภัย
เพื่อความปลอดภัยทั้งชายและหญิงไม่ควรดื่มเหล้าเป็นประจำมากกว่า 14 แก้วต่อสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการดื่มแอลกอฮอล์ให้เหลือน้อยที่สุด และกรณีที่ดื่ม มากกว่า 14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเป็นการดีกว่าหากกระจายการดื่มเป็นช่วง ๆ อย่างน้อย 3 วันขึ้นไป
การดื่มเหล้ามากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะสุขภาพที่ร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหาย และไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ) และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ) อาการเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองได้
ประโยชน์ของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โทษของแอลกอฮอล์มีมากกว่าประโยชน์
การดื่มสุรามีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจน้อย และเกิดผลเฉพาะในคนบางกลุ่มเท่านั้น อย่างผู้หญิงที่มีอายุเกิน 55 ปี แต่ก็ต้องดื่มในระดับน้อย ๆ เท่านั้น ประมาณ 5 แก้วต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่า
แต่หากสนใจเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แนะนำให้ดื่มไวน์แดง หรือเบียร์ซึ่งจะมีคุณประโยชน์ที่ดีกว่า
ผู้ป่วยโรคหัวใจ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์
หากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคได้ อาจเป็นอันตรายกับผู้ที่มีภาวะจังหวะการเต้นของหัวใจได้
การดื่มที่หนักขึ้น (การดื่มมาก ๆ) จะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะในช่วงแรก การดื่มอย่างต่อเนื่องจะเพิ่มความเสี่ยงได้ในอนาคต
เมื่อหยุดดื่มหรือลดปริมาณการดื่ม ความดันโลหิตจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว (สามารถเห็นผลได้ใน 2 – 3 วัน)
หากเกิดโรคหัวใจโตจากแอลกอฮอล์ การหยุดดื่มจะช่วยพัฒนา หรือฟื้นตัวได้
หากผ่านการผ่าตัดหัวใจ สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้หรือไม่
หากเข้ารับการรักษาโรคยาจะถูกปรับเพื่อควบคุมความดันโลหิต และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในขณะนั้น เมื่อกลับมาพักฟื้นตัวที่บ้าน และเริ่มดื่มแอลกอฮอล์อีกครั้ง ความดันโลหิตจะเปลี่ยนแปลง แพทย์จึงปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม
แพทย์จะแนะนำให้เริ่มดื่มแอลกอฮอล์อีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าคนไข้ปลอดภัยจากการวินิจฉัยทางการแพทย์แล้วเท่านั้น เพราะทางจิตวิทยารู้สึกอารมณ์ไม่ดีหลังจากออกจากโรงพยาบาล โดยเฉพาะหลังการผ่าตัดหัวใจ จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น ยังไม่ควรเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ เพราะผลกระทบจากการดื่มสุราจะทำให้รู้สึกแย่ลงและนานขึ้น
แอลกอฮอล์เกิดผลกระทบกับยารักษาโรคหัวใจ
สำหรับผู้คนจำนวนมากที่ใช้ยา แอลกอฮอล์จะส่งผลให้ยามีประสิทธิภาพลดลง
หากกำลังใช้ยารักษาโรคเบาหวาน หรือกำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลต่อการทำงานของยาเหล่านี้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์
แอลกอฮอล์ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อตับ เมื่อดื่มเป็นเวลานาน หรือดื่มมากเกินไป
ยาเช่นสแตตินที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับตับอาจทำให้เกิดความเสียหายของตับเพิ่มขึ้น เมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ แต่กรณีที่ดื่มอย่างจำกัดจะพบความเสี่ยงต่ำ
ผลกระทบของแอลกอฮอล์กับน้ำหนักตัว
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีแคลอรีสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีแคลอรี่ประมาณ 7 กิโลแคลอรีต่อกรัม ดังนั้นแอลกอฮอล์หนึ่งหน่วยที่มีน้ำหนักประมาณ 8 กรัม จะมี 56 กิโลแคลอรีหรือเทียบเท่ากับครีมคัสตาร์ด 1 เม็ด และเครื่องดื่มเหล่านั้นยังอาจมีน้ำตาลด้วย ซึ่งจะเพิ่มปริมาณแคลอรีในเครื่องดื่มได้
การบริโภคแคลอรี่มากเกินไปเป็นประจำอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และเป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และเบาหวานประเภทที่ 2
แอลกอฮอล์ยังทำให้กินมากขึ้น หรือเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพลดลง
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก