อาการปวดข้อนิ้วมือ (Finger Joint Pain) อาจส่งผลต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคน และอาจมีสาเหตุมาจากหลายประการ
บางคนอาจเคยมีอาการปวดข้อนิ้วซึ่งมักจะปวดมากขึ้นเมื่อขยับหรือกดนิ้ว ในบางรายอาจมีอาการปวดข้อนิ้วอย่างต่อเนื่อง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากพักการใช้งาน หรือได้รับการรักษาแบบไม่ต้องใช้ใบสั่งจากแพทย์ตามร้านขายยา
บทความนี้กล่าวถึงสาเหตุ อาการ และการรักษาอาการปวดข้อนิ้ว
อาการปวดข้อนิ้วอาจเกิดจาก:
การได้รับบาดเจ็บ
การบาดเจ็บที่นิ้วเป็นเรื่องที่พบได้ปกติ โดยเฉพาะในนักกีฬา และผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรกลหนัก สาเหตุทั่วไปของการบาดเจ็บที่นิ้ว ได้แก่:
-
แพลง ซึ่งหมายถึงเอ็นที่ยืดหรือฉีกขาด
-
การเคล็ด เมื่อกล้ามเนื้อหรือเอ็นยืดหรือฉีกขาด
-
ข้อต่อนิ้วหลุด เมื่อกระดูกนิ้วถูกกระทบทำให้หลุดจากข้อต่อของมัน
-
กระดูกนิ้วแตก ร้าว หรือหัก
การรักษาอาการปวดข้อนิ้วมือ
สามารถรักษาอาการเคล็ด ขัดยอก และอาการปวดเล็กน้อยได้โดยการบำบัดด้วย R.I.C.E (การพัก ใช้น้ำแข็งประคบ การกด และการยก(ข้อนิ้ว)ให้สูงขึ้น) (Rest, Ice, Compression, and Elevation)
-
Rest.การพัก คือ หลีกเลี่ยง(งด)การขยับหรือการใช้นิ้วที่ได้รับบาดเจ็บเป็นเวลา 2-3 วัน หากต้องการเคลื่อนนิ้วที่บาดเจ็บให้ทำโดยใช้เฝือกหรือบัดดี้เทปไปที่นิ้วอื่น (บัดดี้เทปเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการรักษานิ้วหรือนิ้วเท้าที่บาดเจ็บ บัดดี้เทปหมายถึงการพันนิ้วหรือนิ้วเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไปยังนิ้วที่ไม่ได้รับบ าดเจ็บตัวเลขที่ไม่ได้รับบาดเจ็บทำหน้าที่เป็นเหมือนเฝือก)
-
Ice. ประคบเย็นด้วยก้อนน้ำแข็งบนนิ้วที่บาดเจ็บครั้งละ 20 นาที โดยทำ 4-8 ครั้ง ต่อวัน น้ำแข็งจะช่วยลดอาการปวดและบวมลงได้
-
Compression. การกด หรือพันนิ้วที่ได้รับบาดเจ็บด้วยผ้านุ่มหรือผ้าพันแผล ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผ้าพันแผลแนบสนิท แต่ไม่รัดแน่น
-
Elevation. ยกนิ้วที่บาดเจ็บให้อยู่เหนือระดับหัวใจเพื่อลดความดันโลหิตและอาการบวมที่นิ้ว
การใช้ยาแก้ปวด OTC เช่น ไอบูโพรเฟน และแอสไพรินสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดอาการบวมได้
การบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น กระดูกเคลื่อนและกระดูกหักจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะสามารถย้ายกระดูกนิ้วกลับเข้าไปในข้อต่อและจัดกระดูกที่หักให้เข้าที่ จากนั้นจะตรึงนิ้วไว้เพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างถูกต้อง
พังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
อาการชาที่มือ เป็นผลมาจากเส้นประสาทมีเดียน ที่ต่อมาจากแขนผ่านข้อมือและลงไปยังฝ่ามือ เราจะมีอาการชามือเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเส้นประสาทส่วนนี้ถูกกดในข้อมือ
เราสามารถเกิดอาการมือชาได้ หากได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือหรือที่มือ การเคลื่อนไหวซ้ำๆ เช่น การพิมพ์ดีด จะทำให้เส้นเอ็นเกิดการปวดระคายเคือง ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้เกิดอาการมือชาได้ แต่ในบางคนอาจจะเกิดอาการมือชาขึ้นได้โดยไม่ทราบสาเหตุ
การรักษา
การรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ซึ่งอาจรวมถึง:
-
ใส่เฝือกหรือประคองรั้งไว้เพื่อทำให้ข้อมือตรง
-
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะมีผลกระทบรุนแรงต่อเส้นประสาทมีเดียน
-
ใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ OTC (NSAIDs) หรือยาแก้ปวดตามใบสั่งแพทย์เพื่อลดอาการบวมและปวด
-
รับการฉีดสเตียรอยด์
-
หมั่นทำกายภาพบำบัด
เอ็นอักเสบและเอ็นข้อมืออักเสบ
เส้นเอ็นเป็นสายของเนื้อเยื่อคอลลาเจนที่ยึดกล้ามเนื้อกับกระดูก ปัญหาโดยทั่วไป 2 อย่าง ที่ส่งผลต่อเส้นเอ็นคือ เอ็นอักเสบ (Tendonitis) และ เอ็นข้อมืออักเสบ (Tenosynovitis)
Tendonitis เกิดขึ้นเมื่อเส้นเอ็นมีการอักเสบซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวม ไม่สบายตัว และเคลื่อนไหวช้าลง
Tenosynovitis หมายถึง การอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นซึ่งเป็นเยื่อบาง ๆ ที่ล้อมรอบเอ็น อาจนำไปสู่อาการปวดข้อบวม และตึง
การรักษา
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเอ็นเพียงเล็กน้อย สามารถรักษาได้ด้วยการบำบัดโดย RICE ส่วนในรายที่มีอาการรุนแรงหรือต่อเนื่อง อาจต้องใช้วิธีดังนี้
-
การฉีด คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) เพื่อบรรเทาอาการบวม
-
ทำกายภาพบำบัด
-
ผ่าตัด
ก้อนถุงน้ำที่ข้อมือ (Ganglion Cysts)
ก้อนถุงน้ำที่ข้อมือ คือ ซีสต์หรือก้อนถุงที่มีน้ำอยู่ในถุง ซึ่งมักเกิดขึ้นที่ดานหลังของข้อมือ หรือส่วนข้อต่อของนิ้วมือกับฝ่ามือ หากสัมผัสแล้วจะมีอาการนุ่มอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วมักจะไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีจะมีอาการปวดตึงและอ่อนล้าใกล้บริเวณที่เป็น
การรักษา
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของก้อนถุงน้ำที่ข้อมือ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่ามวลเนื้อเยื่ออ่อนเหล่านี้เกิดจากการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อข้อต่อ เช่น โรคข้ออักเสบ
ก้อนถุงน้ำที่ข้อมือจะหายไปเองโดยไม่จำเป็นต้องทำการรักษา แต่แพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษาในกรณีที่มีอาการปวด หรือมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว แพทย์อาจทำการรักษาโดยการดูดเอาน้ำในถุงน้ำออกมา หรือทำการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับว่าเป็นก้อนถุงน้ำที่ตำแหน่งใดของร่างกาย
โรคข้ออักเสบ
โรคข้ออักเสบเป็นคำทั่วไปสำหรับอาการป่วยที่นำไปสู่การอักเสบ ปวด และตึงของข้อต่อ โรคข้ออักเสบที่พบบ่อยมี 2 ประเภท ได้แก่ โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นภาวะอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง
โรคข้ออักเสบประเภทอื่นๆ ได้แก่ โรคข้ออักเสบเด็ก โรคเกาต์ โรคลูปัส โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคเรย์นอลด์และโรคกระดูกพรุน
อาการของโรคข้ออักเสบ ได้แก่:
-
ปวดข้อและข้อบวม
-
ตึงที่ข้อต่อ เป็นเวลานาน ประมาณ 30 นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า
-
เดิน นั่ง หรือยืน ลำบาก
-
สูญเสียความคล่องตัวในการใช้ข้อมือหรือนิ้ว
-
ทำงานที่มีความละเอียดอ่อนลำบาก เช่น การจับ
การรักษา
เป้าหมายของการรักษาโรคข้ออักเสบ ได้แก่ :
-
ลดความเจ็บปวด
-
แก้ไขการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
-
ชะลออาการของโรค
แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งวิธี ในวิธีดังต่อไปนี้:
-
ปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมกับภาวะตอบสนองของภูมิคุ้มกันโรคที่เป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย
-
ให้ยากิน หรือให้ยาปวดเฉพาะที่
-
ให้ยา NSAIDs หรือ corticosteroids เพื่อลดการอักเสบ
-
ทำกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเสริมสร้างข้อต่อ
-
การผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อต่อ
-
ใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง เช่น ไม้ค้ำยัน และอุปกรณ์ช่วยเดิน
-
เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต รวมถึงการลดน้ำหนักเพื่อลดแรงกดในข้อต่อ
ควรพบแพทย์เมื่อใด
เราควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการปวดนิ้วอย่างรุนแรงหรือมีอาการดังต่อไปนี้ :
-
ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าในนิ้วหรือมือ
-
ขยับหรือยืดนิ้วลำบาก
-
นิ้วบวมแดง
-
อาการปวดนิ้วที่ไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาที่บ้านหรือ การรักษาแบบ OTC
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก