เฮอแปงไจน่า (Herpangina) : อาการ สาเหตุ การรักษา

เฮอแปงไจน่า (Herpangina) : อาการ สาเหตุ การรักษา

24.05
2307
0

เฮอแปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่มีลักษณะอาการที่มีถุงน้ำหรือแผลที่ผนังลำคอและเพดานปาก มักเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง

เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อในลำคอและในช่องปาก เฮอแปงไจน่ามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอ็นเทอโร ไวรัส (Enteroviruses) ลักษณะจะคล้ายกับโรคที่เกิดในเด็กที่เรียกว่า มือ เท้า ปาก(Hand-foot-mouth disease)เพราะเกิดจากเชื้อตัวเดียวกัน ลักษณะตุ่มน้ำหรือแผล จะมีลักษณะคล้ายกันแต่จะต่างกันที่บริเวณที่เกิดซึ่ง มือ เท้า ปาก มักจะเกิดที่ฝ่ามือฝ่าเท้า

การติดเชื้อที่เกิดจากเอนเทอโรไวรัสสามารถติดต่อได้ง่ายและแพร่กระจายจากเด็กคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่าย ในขณะที่ผู้ใหญ่สามารถสัมผัสกับเชื้อเฮอแปงไจน่าได้ แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ใหญ่สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับไวรัสแล้ว

ในกรณีส่วนใหญ่ เฮอแปงไจน่า สามารถรักษาได้ง่ายและอาการจะหายไปอย่างรวดเร็ว

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

จากข้อมูลของโรงพยาบาลเด็กสแตนฟอร์ด ชนิดของเอนเทอโรไวรัสที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้เกิดเฮอร์แปงไจน่า ได้แก่

  • ค๊อกซากี่ ไวรัส A (Coxsackie virus A)
  • ค๊อกซากี่ ไวรัส B (Coxsackie virus B)
  • เอนเทอโรไวรัส 71(Enteroviruses 71 )
  • เอคโค่ไวรัส (Echovirus )(พบได้น้อย)

เด็กอายุ 3 ถึง 10 ปีมีความเสี่ยงสูงสุดในการติดเชื้อ เนื่องจากพวกเขายังไม่เคยสัมผัสกับไวรัสและยังไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันที่จำเป็นในการต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส

เฮอร์แปงไจน่า มักแพร่กระจายโดยการสัมผัสกับละอองจากทางเดินหายใจโดยการจามหรือการไอ หรือจากการสัมผัสกับอุจจาระ

ไวรัสสามารถอยู่ได้หลายวันนอกร่างกายโดยอาศัยวัตถุต่างๆ เช่น มือจับประตู ของเล่นและก๊อกน้ำ

ความเสี่ยงของการได้รับ เฮอร์แปงไจน่า เพิ่มขึ้นใน:

  • เด็กอายุ 3 ถึง 10 ปี
  • ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงในสหรัฐอเมริกาหรือตลอดทั้งปีในสภาพอากาศเขตร้อน
  • โรงเรียน ค่ายฤดูร้อน และศูนย์ดูแลเด็ก
  • ผู้ที่ไม่ล้างมือเป็นประจำอย่างทั่วถึง

เมื่อเด็กได้รับผลกระทบจากเอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่ง พวกเขามักจะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสนั้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาอาจยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆด้วย

อาการ

อาการของเฮอร์แปงไจน่าแตกต่างกันไปในแต่ละคน อย่างไรก็ตามอาการที่พบบ่อย ได้แก่ :

เนื่องจากเด็กบางคนอาจปฏิเสธที่จะกินหรือดื่มเนื่องจากเจ็บปวดในปาก พวกเขาจึงอาจมีความเสี่ยงที่จะขาดน้ำ

ผู้ที่ติดเชื้อเฮอร์แปงไจน่า เชื้อมักติดต่อได้มากที่สุดในช่วง 7 วันแรกหลังได้รับเชื้อ แม้ว่าจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นก็ตาม ซึ่งเรียกว่า ระยะฟักตัว (Incubation period)

เฮอร์แปงไจน่า แตกต่างจาก มือ เท้า ปาก อย่างไร?

เฮอร์แปงไจน่า และ มือ เท้า ปาก เกิดจากไวรัสกลุ่มเดียวกันและแสดงอาการคล้ายกัน ทั้งสองโรคนี้มักเกิดขึ้นในเด็กเหมือนกัน นอกจากนี้ทั้ง เฮอร์แปงไจน่า และ มือ เท้า ปาก อาจเริ่มด้วยไข้และเจ็บคอมาหลายวัน ก่อนที่แผลจะปรากฏในปาก

เฮอร์แปงไจน่า และ มือ เท้า ปาก แพร่กระจายผ่านมือที่ไม่ได้ล้าง อุจจาระและสารคัดหลั่งในทางเดินหายใจ การรักษาทั้งสองโรคจะเหมือนกันและการติดเชื้อทั้งสองมีแนวโน้มที่จะชัดเจนภายใน 7 ถึง 10 วัน

อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างบางประการระหว่างสองโรคนี้คือ ตำแหน่งของแผลแตกต่างกัน ในกรณีของ เฮอร์แปงไจน่า จะมีแผลที่ด้านหลังช่องปากในขณะที่แผล มือ เท้า ปาก เกิดขึ้นที่ด้านหน้า

ตามชื่อของโรค เด็กที่เป็น มือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่จะพบรอยโรคที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือของพวกเขา  แต่โดยทั่วไปรอยโรคของเฮอร์แปงไจน่า จะพบเฉพาะในลำคอและปาก

herpangina

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรค เฮอร์แปงไจน่า มักจะทำโดยอาศัยประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย

เนื่องจากแผลมีความเป็นเอกลักษณ์มาก จึงสามารถแยกความแตกต่างระหว่าง เฮอร์แปงไจน่ากับสภาวะอื่นๆของช่องปากและลำคอได้ง่าย

นอกจากนี้ปัจจัยที่บ่งชี้ว่า เฮอร์แปงไจน่า มีลักษณะไม่เหมือนโรคอื่นๆ คือ

  • ช่วงเวลาของการระบาด
  • อายุของเด็ก
  • การสัมผัสผู้ติดเชื้อและการระบาดของโรค
  • ระยะฟักตัว

แม้ว่าจะมีการทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบหาเชื้อ เอนเทอโรไวรัส แต่โดยทั่วไปแล้วก็ไม่จำเป็น

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ควรติดต่อพบแพทย์หากพบอาการของ เฮอร์แปงไจน่า เพื่อให้สามารถวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วและแยกโรคอื่นๆที่คล้ายกัน

เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนหากมีอาการดังต่อไปนี้

  • ไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส หรือไข้ที่ไม่ลด
  • แผลในปากหรือคอ เป็นเวลา 5 วันขึ้นไป
  • อาเจียนหรือท้องเสียนานกว่า 1 วัน

นอกจากนี้ควรไปพบแพทย์โดยด่วนหากมีอาการขาดน้ำ ซึ่งมีอาการ:

  • ปากแห้ง
  • ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
  • กระหายน้ำ
  • เหนื่อยเพลีย
  • รู้สึกมึนงงวิงเวียนหรืออ่อนแรง
  • ปัสสาวะออกน้อย
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • แก้มแห้งหรือตาลึก

การรักษา

ไวรัสไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ และไม่มียาต้านไวรัสสำหรับไวรัสที่ทำให้เกิด เฮอร์แปงไจน่า

ด้วยเหตุนี้จุดมุ่งหมายของการรักษาคือเพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย และจัดการกับอาการของโรค จนกว่าจะหายซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 7 ถึง 10 วัน

ผู้ที่เป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)หรืออะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เพื่อช่วยบรรเทาไข้ ปวดศีรษะ และปวดในปากและลำคอ 

สิ่งสำคัญคือต้องใช้ยาที่เหมาะสำหรับเด็ก ตัวอย่างเช่น ไม่ควรให้ยาแอสไพรินแก่เด็ก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอาการของโรค Reye’s syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่หายาก ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งทำให้เกิดอาการบวมในสมองและทำลายตับ

ตัวเลือกการรักษาอื่นๆ ได้แก่ :

  • ยาชาเฉพาะที่ ( Lidocaine): ครีมและเจลที่ทาเฉพาะที่อื่นๆ อาจช่วยบรรเทาอาการปวดในปากและลำคอได้ ควรใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับวัยเสมอ
  • การบ้วนปาก: การบ้วนปากด้วยน้ำอุ่นและเกลืออาจช่วยบรรเทาอาการปวดในปากและคอได้ สามารถทำซ้ำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
  • การให้น้ำ: เนื่องจากการสูญเสียน้ำเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับเชื้อ เฮอร์แปงไจน่า จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มร้อนและน้ำผลไม้ เพราะจะทำให้อาการปวดในปากและคอแย่ลง อย่างไรก็ตามไอติมแช่แข็งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดและใช้ทดแทนน้ำได้
  • อาหารที่ไม่ระคายเคือง: อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อแผลในปากและลำคอ เช่น อาหารร้อน ของทอด ของเผ็ด ของเค็ม หรือของที่มีรสเปรี้ยว  ผลไม้ที่ไม่ใช่รสเปรี้ยว (เช่นกล้วย) ผัก นม และอาหารอื่นๆ เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในระหว่างการติดเชื้อเฮอร์แปงไจน่า

หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์และอาการแย่ลง หรือมีอาการใหม่เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

การป้องกัน

ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า คือการล้างมืออย่างเหมาะสม ควรสอนให้เด็กล้างมือให้สะอาดหลังใช้ห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร

เมื่อไอหรือจามให้ปิดจมูกและปาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสและล้างมือทันที

ผู้ปกครองของเด็กที่เป็นโรคเฮอร์แปงไจน่าจะต้องล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือสัมผัสกับน้ำมูก ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเคาน์เตอร์ครัว ห้องน้ำ ของเล่น และเสื้อผ้า อย่างทั่วถึงเพื่อทำลายไวรัส

อาจแนะนำให้เด็กที่เป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า หลีกเลี่ยงการไปโรงเรียนหรือค่าย เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น

ภาพรวม

แม้ว่าโรคเฮอร์แปงไจน่าจะติดต่อได้ง่าย แต่โดยปกติอาการไม่รุนแรง จะหายได้เองภายใน 7 ถึง 10 วัน

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด คือ ภาวะขาดน้ำ แต่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการดูแลที่บ้านอย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆพบได้น้อยมาก

แม้ว่าจะมีรายงานการเสียชีวิตในกรณีเป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า แต่พบได้ยากและส่วนใหญ่เกิดในทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี

แม้ว่า เฮอร์แปงไจน่า จะไม่พบบ่อยในผู้ใหญ่ แต่งานวิจัยบางฉบับชี้ให้เห็นว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้ออาจมีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ทารกอายุครรภ์น้อย และการคลอดก่อนกำหนด

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

Комментарии (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *