โรคเมลิออยโดสิส (Melioidosis) คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสกับแบคทีเรียบางชนิดในน้ำหรือดินที่มีเชื้อ บางครั้งเรียกอาการนี้ว่า“ โรควิทมอร์” ตามนักพยาธิวิทยาที่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้เป็นคนแรก
โรคเมลิออยโดสิสพบได้บ่อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย แต่ประเทศอื่น ๆ ก็มีรายงานการพบโรคเช่นกัน
โรคเมลิออยโดสิสคือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยไปสัมผัสกับแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ซึ่งมีอยู่ทั้งในดินและน้ำ โดยพื้นที่ที่พบผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสบ่อย ๆ คือ:
- มาเลเซีย
- ตอนเหนือของออสเตรเลีย
- สิงคโปร์
- ประเทศไทย
ผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรังและผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมักมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเมลิออยโดสิส ตัวอย่างเช่น :
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ผู้ป่วยโรคตับ
- ผู้ป่วยโรคไต
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
- ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง
สาเหตุของโรคเมลิออยโดสิส
ผู้คนสามารถเป็นโรคเมลิออยโดสิสได้เมื่อสัมผัสกับน้ำหรือดินที่มีแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei
- การสัมผัสกับดินที่ปนเปื้อน โดยเฉพาะบริเวณบาดแผลที่ผิวหนังหรือรอยถลอก
- ดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ
- สูดดมฝุ่นละออง หรือละอองน้ำ
การแพร่เชื้อจากมนุษย์ไปสู่ผู้อื่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็มีความเป็นไปได้
อาการของโรคเมลิออยโดสิส
โรคเมลิออยโดสิสอาจมีอาการได้หลากหลาย ผู้ป่วยส่วนมากใหญ่จะพบอาการภายใน 2–4 สัปดาห์หลังจากสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่พบอาการใด ๆ เลย
บุคคลสามารถติดเชื้อแบคทีเรียที่นำไปสู่โรคเมลิออยโดสิสผ่านบริเวณต่างๆของร่างกายได้ อาการต่างๆอาจเกิดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับส่วนของร่างกายที่ได้รับเชื้อ ได้แก่ :
การติดเชื้อในกระแสเลือด
อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้:
- ปัญหาการหายใจ
- งงงวย สับสน
- เป็นไข้
- ปวดศีรษะ
- ปวดข้อ
- ปวดท้อง
การติดเชื้อที่ผิวหนัง
อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้:
- เป็นไข้
- เกิดกลิ่นเหม็นจากบาดแผล
- ปวดเฉพาะที่
- รอยแดง
- บวม
- ผิวเป็นแผล
การติดเชื้อในปอด
อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้:
- เจ็บหน้าอก
- ไอ
- เป็นไข้
- ปวดศีรษะ
- เบื่ออาหาร
ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย หรือระบบขับถ่าย อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้:
- เจ็บหน้าอก
- เป็นไข้
- ปวดหัว
- ปวดข้อ
- ชักเกร็ง
- ปวดท้อง
- น้ำหนักลด
คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคเมลิออยโดสิสทุกปี แต่กรณีติดเชื้อในระบบขับถ่ายจะมีอัตราการตายจะสูงถึง 90%
การรักษาโรคเมลิออยโดสิส
แพทย์สามารถรักษาโรคเมลิออยโดสิสได้ด้วยการใช้ยา และวิธีการรักษาอื่น ๆ ตามอาการของโรค
เริ่มจากการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ เช่น ceftazidime หรือ meropenem เป็นเวลา 10–14 วัน
หลังจากเวลานี้แพทย์จะสั่งยาต้านจุลชีพชนิดรับประทาน 3–6 เดือน ได้แก่ trimethoprim-sulfamethoxazole และ amoxicillin-clavulanic acid
บุคคลต้องได้รับการรักษาตามที่แพทย์กำหนดอย่างครบถ้วน จึงจะช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเมลิออยโดสิสซ้ำใหม่ได้
การวินิจฉัยโรคเมลิออยโดสิส
แพทย์จะวินิจฉัยโรคเมลิออยโดสิสด้วยการซักถามผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการ และประวัติการเดินทาง พร้อมกับการตรวจร่างกาย
การติดเชื้อเมลิออยโดสิสอาจมีอาการคล้ายกับการติดเชื้ออื่น ๆ ซึ่งรวมถึงโรคปอดบวมและวัณโรค โดยปกติแพทย์สามารถแยกความแตกต่างได้โดยการเก็บตัวอย่าง:
- เลือด
- หนอง
- เสมหะ
- ปัสสาวะ
จากนั้นจะส่งให้ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ด้วย “เพาะเชื้อ” เพื่อสังเกตการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
แพทย์อาจวินิจฉัยเพิ่มด้วยการใช้ภาพ CT สแกน และ MRI เพื่อพิจารณาผลกระทบของโรคต่อร่างกาย ตัวอย่างเช่นโรคเมลิออยโดสิสมักทำให้เกิดฝีที่ตับ ม้าม หรือปอด ซึ่งปรากฏด้วยการทดสอบภาพ
การป้องกันโรคเมลิออยโดสิส
การลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเมลิออยโดสิส ได้แก่:
- ปิดบาดแผลไว้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสสัมผัสกับน้ำและดิน
- สวมรองเท้าบูทป้องกัน เมื่อต้องทำงานสัมผัสดินและน้ำ
- หากทำงานในสถานพยาบาลให้ปฏิบัติตามข้อควรระวังด้านความปลอดภัย เช่นสวมหน้ากาก ถุงมือ และเสื้อคลุม
- หากบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเมลิออยโดสิสมาก เช่นผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ กำลังเดินทางไปยังบริเวณที่พบโรคเมลิออยโดซิสบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการป้องกัน และข้อควรระวังต่าง ๆ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.cdc.gov/melioidosis/index.html
- https://www.cdc.gov/melioidosis/symptoms/index.html
- https://www.healthline.com/health/melioidosis
- http://conditions.health.qld.gov.au/HealthCondition/condition/14/33/455/melioidosis
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก