Sodium หรือ โซเดียม คือ เป็นธาตุชนิดหนึ่งที่เกิดปฏิกริยาได้ง่ายมาก ด้วยความที่เกิดปฏิกริยาได้ง่าย โซเดียมจึงไม่เคยถูกพบในรูปทรงอิสระในธรรมชาติ โซเดียมมักจะถูกพบในเกลือ รูปแบบของโซเดียมที่พบมากที่สุดคือ โซเดียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นเกลือที่เราใช้กันในครัวเรือน ผู้ที่รับประทานโซเดียมในรูปแบบของโซเดียมคลอไรด์จะได้รับโซเดียมในปริมาณต่ำ เพื่อที่จะป้องกันไตเป็นพิษที่เกิดจาก Amphotericin และยาที่ใช้ในส่วนอื่นของร่างกาย การฉีดโซเดียมในรูปของสารละลายโซเดียม หรือน้ำเกลือ ใช้เพื่อป้องกันภาวะไตเป็นพิษ ลดอาการบวมของสมอง ความดันในสมอง และใช้เพื่อรักษาภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
น้ำเกลือถูกใช้รักษาอาการตาแดง ตาแห้ง เจ็บปาก และเจ็บคอ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สูดดมเพื่อรักษาโรคซิสติก ไฟรโบรซิสได้อีกด้วย ในอาหาร โซเดียมคลอไรด์ใช้เพื่อเพิ่มรสชาติ และถนอมอาหาร
ร่างกายนำโซเดียมคลอไรด์ไปใช้อย่างไร
การดูดซึม และการขนส่งสารอาหาร
โซเดียมมีบทบาทสำคัญในลำไส้เล็ก เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึม:
- คลอไรด์
- น้ำตาล
- น้ำ
- กรดอะมิโน
คลอไรด์ เมื่ออยู่ในรูปแบบของกรดไฮโดรคลอริก จะช่วยให้ร่างกายย่อย และดูดซึมสารอาหาร
การรักษาระดับพลังงานของร่างกาย
โซเดียม และโพแทสเซียมเป็นอิเล็กโตรไลต์ในของเหลวทั้งใน และนอกเซลล์ ความสมดุลระหว่างสารเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายรักษาระดับพลังงานได้
นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการส่งสัญญาณของระบบประสาท ในกล้ามเนื้อ และการทำงานของหัวใจ
รักษาระดับความดันเลือด และน้ำในร่างกาย
ไต สมอง และต่อมอะดรีนัลทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมระดับโซเดียมในร่างกาย สัญญาณเคมีประตุ้นไตให้เก็บน้ำเพื่อให้ไปถูกดูดซึมในกระแสเลือดอีกครั้ง หรือขับน้ำส่วนเกินออกไปทางปัสสาวะ
เมื่อคุณมีโซเดียมในเลือดมากเกินไป สมองจะส่งสัญญาณให้ไตปล่อยน้ำเข้าระบบเลือดมากขึ้น ทำให้ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น และความดันโลหิตสูงขึ้น การลดการบริโภคโซเดียมลงจะทำให้น้ำเข้าไปในระบบเลือดน้อยลง และทำให้ความดันลดลง
การใช้โซเดียมคลอไรด์ในการแพทย์
โซเดียมชนิดสูดหายใจช่วยสร้างเสมหะ ซึ่งทำให้ง่ายต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิสติก ไฟรโบรซิสที่จะหายใจ ทั้งยังช่วยทำให้ของเหลว และอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายสมดุล ความสมดุลนี้มีผลต่อความดันโลหิต และสุขภาพของไต และหัวใจ
ได้ผลดีกับ
- ระดับโซเดียมในเลือด การให้สารละลายโซเดียมคลอไรด์ทางเส้นเลือดช่วยให้ผู้ที่มีระดับโซเดียมในเลือดต่ำมีอาการลดลง
เหมือนจะได้ผลดีกับ
- โรคซิสติก ไฟรโบรซิส รักษาโดยการสูดดมสารละลายโซเดียมคลอไรด์ที่มีความเข้มข้น 3%-7% จะช่วยลดสิ่งที่อุดกั้นทางเดินหายใจในระยะสั้น และช่วยลดปัญหาของปอด และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาว
อาจมีประสิทธิภาพกับ
- การบาดเจ็บที่ไตที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาต้านเชื้อรา (Amphotericin B Nephrotoxicity) การรับประทานโซเดียมคลอไรด์ หรือฉีดโซเดียมคลอไรด์จะช่วยลดการทำงานของไต
ผลข้างเคียง
ในการรับประทาน โซเดียมนั้นปลอดภัยสำหรับคนส่วนมาก การรับประทานโซเดียมน้อยกว่า 2.3 กรัมต่อวันปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก ในบางคน โซเดียมอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม โซเดียมสามารถเป็นอันตรายได้หากรับประทานมากกว่า 2.3 กรัมต่อวัน ยิ่งรับประทานมากเท่าไหร่ โซเดียมก็จะไปสะสมในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเป็นความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
ข้อควรระวัง
หญิงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร: โซเดียมปลอดภัยต่อหญิงที่ตั้งครรภ์ และให้นมบุตรเมื่อรับประทานน้อยกว่า 1.5 กรัมต่อวัน การรับประทานในปริมาณที่มากกว่านั้นอาจก่อให้เกิดอันตราย ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงเกินไปได้
เด็ก: โซเดียมปลอดภัยที่จะรับประทานสำหรับเด็ก เมื่อรับประทานน้อยกว่า 1.2 กรัมในเด็กอายุ 1-3 ปี 1.5 กรัมต่อวันในเด็กอายุ 4-8 ปี 1.8 กรัมต่อวันสำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี และ 2.3 กรัมต่อวันในวัยรุ่น เมื่อรับประทานมากกว่านั้นอาจทำให้เกิดอันตรายได้ และทำให้ความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจ: ผู้ที่เป็นโรคหัวใจควรรับประทานโซเดียมในปริมาณที่พอเหมาะ การรับประทานโซเดียมมากกว่า 2.3 กรัมต่อวันจะทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจ และการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
การมีโซเดียมในร่างกายสูง: ระดับโซเดียมที่เพิ่มสูงขึ้นในร่างกายอาจทำให้เกิด
ความดันโลหิตสูง: การรับประทานโซเดียมปริมาณมากสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นได้ และอาจทำให้โรคความดันโลหิตที่เป็นอยู่แย่ลง
โรคไต: ผู้ที่เป็นโรคไตควรควบคุมการรับประทานโซเดียม การรับประทานโซเดียมทำให้อาการแย่ลงได้
โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง: การรับประทานโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยที่รับรอง หากคุณเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง คุณไม่จำเป็นต้องรับประทานเกลือให้น้อยลง แต่ทุกคนควรรับประทานเกลือได้มากสุดไม่เกิน 2.3 กรัมต่อวัน
โรคอ้วน: ผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนควรรับประทานโซเดียมในปริมาณที่พอเหมาะ มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานโซเดียมในปริมาณมากอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้
โรคกระดูกพรุน: มีความกังวลว่าการรับประทานเกลือมากเกินไปอาจทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงได้ แต่งานวิจัยก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด หากคุณเป็นโรคกระดูกพรุน คุณไม่จำเป็นต้องลดการบริโภคเกลือ แต่ก็ไม่ควรที่จะรับประทานเกิน 2.3 กรัมต่อวัน
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก