อาการเท้าบวม (Swollen Feet) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเกิดได้จากอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆที่ง่ายต่อการรักษา แต่อาการเท้าบวม ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรง จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์
เราจะพูดถึงสาเหตุของอาการเท้าบวม ว่าเมื่อไหร่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ และสาเหตุเกิดจากอะไร
อาการบวมน้ำ
อาการบวมน้ำเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อของเหลวติดอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นบริเวณเท้า แต่ก็สามารถพบในบริเวณอื่นๆได้เช่น ใบหน้าหรือหน้าท้อง
สัญญาณอื่นๆของอาการบวมน้ำ :
- ผิวแตก มีลักษณะมันวาวในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ
- ผิวจะมีลัษณะบุ๋มลงไปหลังจากโดนกด
- มีความรู้สึกไม่สบายตัวและเคลื่อนไหวได้ไม่ถนัด
- มีอาการไอ หรือหายใจลำบาก ถ้าอาการบวมส่งผลต่อปอด
วิธีการรักษา
อาการบวมน้ำสามารถหายไปเองได้ แต่ในบางครั้งอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ
การรักษาตัวที่บ้าน ทำได้โดย การสวมถุงน่องเพื่อลดอาการบวม ลดการรับประทานเกลือ และนอนราบยกขาสูงเหนือหน้าอก
หากอาการไม่ดีขึ้น ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง
อาการบาดเจ็บที่เท้าหรือข้อเท้า
การบาดเจ็บอาจทำให้เกิดอาการบวมในบริเวณนั้นได้
ตัวอย่างเช่น ข้อเท้าเคล็ดซึ่งเกิดจากการที่เส้นเอ็นยืดออกมากกว่าปกติทั่วไป จนทำให้เท้าเกิดอาการบวมได้
วิธีการรักษา
วิธีการรักษาอาการบาดเจ็บบริเวณเท้าหรือข้อเท้า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บควรจะยกเท้าขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักที่เท้ามากเกินไป
ใช้น้ำแข็งประคบหรือผ้าพันแผลพันไว้ เพื่อลดอาการบวม และรับประทานยาแก้ปวดที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
หากอาการปวดหรือบวมไม่หายไป ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น
การตั้งครรภ์
ในผู้ที่ตั้งครรภ์ในระยะสุดท้าย ช่วงเท้าและข้อเท้ามักมีอาการบวม เกิดจากการกักเก็ยของเหลว และความดันในหลอดเลือดที่เพิ่มขึ้น
การรักษาด้วยตนเอง
ผู้ที่หญิงที่ตั้งครรภ์ สามารถยกเท้าสูง สวมใส่รองเท้าที่สบายและรองรับแรงกดได้ดี และหลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานาน
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็น และลดเกลือ การดื่มน้ำที่เพิ่มขึ้นจะช่วยลดการกักเก็บของเหลวได้ การสวมเสื้อผ้าที่ช่วยรองรับในการพยุงตัว เช่น ถุงน่อง จะช่วยลดอาการไม่สบายตัวและลดบวมได้
ภาวะครรภ์เป็นพิษ
หากมีอาการบวมระหว่างตั้งครรภ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด โดยอาจมีอาการ มีโปรตีนอยู่ในปัสสาวะ การคั่งของของเหลวที่มากเกิดไปอย่างรวดเร็วและมีความดันโลหิตสูง
ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่รุนแรงซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงหลังของการตั้งครรภ์ และอาจมีอาการชักได้ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำส่งแพทย์ทันที
สัญญาณของครรภ์เป็นพิษ :
- มีอาการบวมอย่างรุนแรง
- ปวดหัว
- เวียนหัว
- คลื่นไส้และอาเจียน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น
- ปัสสาวะบ่อยน้อยลง
วิธีการรักษา
หากประสบกับภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษากับแพทย์โดยทันที
การใช้ชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิตประจำวันอาจส่งผลกระทบ ทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้ เช่น :
- ไม่ค่อยขยับตัว
- มีน้ำหนักมาก
- สวมรองเท้าที่ไม่กระชับ
วิธีการรักษาตัวที่บ้าน
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและคบคุมน้ำหนัก จะทำให้ลดอาการบวมของเท้าได้
วิธีอื่นๆที่สามารถลดอาการเท้าบวมได้มีดังนี้ :
- ดื่มน้ำมากๆ
- สวมถุงเท้าที่รัดหรือถุงน่อง
- แช่เท้าในน้ำเย็น
- ยกเท้าสูงกว่าหัวใจอย่างสม่ำเสมอ
- กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา
- ลดน้ำหนักหากมีน้ำหนักมาก
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงการรับประทานเกลือ
- นวดเท้า
- รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมมากขึ้น เพื่อช่วยลดการกักเก็บน้ำ
ผลข้างเคียงของยา
Share on Pinterest
สเตียรอยด์สามารถทำให้เกิดอาการบวมได้
การทานยาบางชนิดสามารถทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบวมน้ำ
ยาที่สามารถทำให้เกิดอาการบวมได้มีดังนี้ :
- ฮอร์โมน เช่น เอสโตรเจนและฮอร์โมนเพศชาย
- ยาปิดกั้นแคลเซียม ที่ช่วยมนการควบคุมความดันโลหิต
- สเตียรอยด์
- ยาต้านซึมเศร้า
- ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
- ยาที่ช่วยเรื่องโรคเบาหวาน
หากคิดว่าอาการเท้าบวมเป็นผลข้างเคียงของยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับลดปริมาณหรือเปลี่ยนชนิดของยา
แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์สามารถทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำได้ หากอาการบวมเกิดขึ้นมากกว่าสองวัน ควรปรึกษาแพทย์
อาการเท้าบวมที่เกิดหลังจากการดิ่มแอลกอฮอล์ อาจแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจ ตับ หรือไต
วิธีการรักษาด้วยตัวเอง
การยกเท้าขึ้นให้สูงกว่าหัวใจ และการดื่มน้ำมากๆ รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการบริโภคเกลือ รวมไปถึงการแช่เท้าในน้ำเย็น ก็สามารช่วยลดอาการบวมได้
อากาศร้อน
อาการร้อนสามารถส่งผลให้เท้าบวมได้ เนื่องจากเส้นเลือดมีการขยาดตัวเพื่อช่วยให้ร่างกายเย็นลง ซึ่งทำให้ของเหลวสามารถไหลซึมเข้าสู้เนื้อเยื่อโดยรอบได้ ทำให้มีการสะสมของของเหลวบริเวณเท้าและข้อเท้าได้
วิธีการรักษาด้วยตัวเอง
การดื่มน้ำปริมาณมากและใส่รองเท้าที่กระชับและสบายสามารถระบายอากาศได้ จะช่วยป้องกันไม่ให้มีอาการเท้าบวมในอากาศร้อนได้
การติดเชื้อ
การติดเชื้ออาจทำให้เกิดอาการบวมได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับการติดเชื้อบริเวณเท้า ดังนั้นจึงควรระมัดระวังไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจนกลายเป็นแผลพุพอง
วิธีการรักษา
โดยส่วนมาก แพทย์จะสั่งยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ
นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.webmd.com/a-to-z-guides/swollen-ankles-and-feet#1
- https://www.nhs.uk/conditions/oedema/
- https://www.healthline.com/health/swollen-feet
- https://www.mayoclinic.org/symptom-checker/foot-swelling-or-leg-swelling-in-adults-adult/related-factors/itt-20009075
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก