ปวดหัวข้างซ้าย
อาการปวดหัวข้างซ้ายมีสาเหตุหลายประการ การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านั้น จะช่วยให้การรักษาสามารถจัดการกับความเจ็บปวดได้ และทำให้ทราบว่าเมื่อใดที่ควรไปพบแพทย์
ประมาณ 50% ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมักมีอาการปวดหัว อาการปวดหัวบางอย่างเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย และหายได้เอง แต่อาการปวดศีรษะบางครั้งอาจรุนแรง และจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์
หากอาการปวดหัวเกิดขึ้นจนส่งผลต่อการมองเห็น คลื่นไส้ หรืออาการอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความกังวล ให้ไปพบแพทย์ หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ และอ่อนแรงอย่างกะทันหัน และรุนแรงที่ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย หรือทำให้เกิดความสับสน ควรเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ปวดไมเกรนทำอย่างไรให้ดีขึ้น อ่านต่อที่นี่
ลักษณะโดยรวมของอาการปวดหัวข้างซ้าย
อาการปวดหัวมีหลายประเภท ซึ่งรวมถึงอาการปวดหัวข้างซ้าย อาการปวดหัวไมเกรน และปวดแบบคลัสเตอร์
โดยทั่วไป แพทย์จำแนกอาการปวดหัวเป็น “ระดับหลัก” หรือ “ระดับรอง” ผู้ป่วยที่มีอาการปวดหัวอย่างเดียวตืออาการปวดระดับหลัก แต่อาการปวดศีรษะระดับรองคือ อาการที่เกิดจากปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น :
- เนื้องอกในสมอง
- โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะการติดเชื้อ
อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ รวมถึงการปวดหัวด้านซ้ายด้วย
ปวดหัวไมเกรน
ไมเกรนอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวซีกซ้ายระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการปวดหัวไมเกรนอาจเกิดช่วงสั้น ๆ และรุนแรงที่ด้านใดด้านหนึ่งของศรีษะ อาจปวดเบ้าตาซ้าย หรือขวา หรือขมับ แล้วลุกลามไปทั่วศีรษะ
ไมเกรนชนิดที่พบได้ยาก คือ ไมเกรนแบบอัมพาตครึ่งซีก ทำให้เกิดความอ่อนแอที่แขนขา และใบหน้าที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
อาการไมเกรนมักเกิดได้นาน 4 – 72 ชั่วโมง วิธีแก้ปวดหัวไมเกรนคือ การนอนลงในห้องมืด และพักผ่อนจนกว่าอาการจะหาย
สาเหตุของโรค ได้แก่ :
- ความเครียดถือเป็นปัจจัยหลัก
- การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน
- อาหารบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ ชีส และช็อกโกแลต
- นอนมาก หรือน้อยเกินไป
- ไฟที่ส่องสว่างเกินไป หรือไฟกะพริบ
- กลิ่นต่าง ๆ อย่างน้ำหอม
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์
อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์จะทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียว จี๊ดๆที่รุนแรงที่ด้านใดด้านหนึ่งของศีรษะ โดยมักเกิดขึ้นที่บริเวณดวงตา ความเจ็บปวดอาจรุนแรงมาก และอาจรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทง แสบร้อน หรือปวดลึกถึงกระดูก
อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์อาจเกิดขึ้นนาน 4 – 12 สัปดาห์ จากนั้นจึงหยุดไปอาจหายไปนานหลายปี
อาการทั่วไป ได้แก่ :
- ปวดหลังตาข้างเดียว ขมับ หรือหน้าผากข้างใดข้างหนึ่ง
- อาการปวดที่เกิดตอนกลางคืน มักเกิดอาการ 1 – 2 ชั่วโมงหลังเข้านอน
- อาการปวดมักรุนแรงที่สุด หลังเกิดอาการ 5 – 10 นาที
- อาการปวดที่รุนแรงจะกินเวลานาน 30-60 นาที
- อาการปวดจะลดความรุนแรงลง แต่อาจดำเนินต่อเนื่องไปอีก 3 ชั่วโมง
อาการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:
ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคนี้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปทาลามัส และเส้นประสาท และหลอดเลือดของระบบไตรเจมินัล ที่เกี่ยวข้องกับดวงตาและใบหน้า
อาการปวดศีรษะแบบ Cervicogenic
อาการปวดศีรษะประเภทนี้เกิดจากการบาดเจ็บที่คอ เช่น กระดูกสันหลังส่วนคอ หรือข้อต่ออักเสบ หรือการเปลี่ยนแปลงของกระดูกสันหลังส่วนบน
ลักษณะอาการ ได้แก่:
- ปวดหัวระดับปานกลางถึงรุนแรง เริ่มบริเวณคอ ลามไปที่ดวงตา และใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง
- คอเคล็ด และเคลื่อนไหวได่น้อยลง
- ปวดรอบดวงตา คอ ไหล่ และแขน
- คลื่นไส้
- มองเห็นภาพซ้อน
- ความไวต่อแสง และเสียง
การฉีดสเตียรอยด์ และยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน (แอดวิล) จะเป็นวิธีแก้ปวดหัวข้างเดียวได้ มักหายไปภายใน 3 เดือน แต่อาจเป็นซ้ำอีกได้ โดยความถี่ และความรุนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
หลอดเลือดอักเสบ
ภูมิต้านทานที่ผิดปกติของร่างกาย อาจทำให้หลอดเลือดเป็นอันตราย จนนำไปสู่โรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) ได้
โรคหลอดเลือดอักเสบที่พบบ่อยคือ โรคหลอดเลือดแดงในสมองส่วนขมับ (Temporal Arteritis) ซึ่งส่งผลต่อหลอดเลือดในศีรษะ พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
โรคหลอดเลือดอีกเสบอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวจี๊ดๆที่รุนแรง และไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ อาการปวดจะรุนแรงที่สุดภายใน 1 นาที และต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5 นาที และอาจเกิดอาการได้นานขึ้น หากโรคมีอาการรุนแรงขึ้น
อาการอื่น ๆ ได้แก่:
- สูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน
- ปวดข้างเดียว หรือหลังตา
- ปวดเมื่อเคี้ยวอาหาร
หากมีอาการเหล่านี้วิธีทำให้หายปวดหัวคือ การไปพบแพทย์ และหากไม่รักษาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
หลอดเลือดโป่งพองในสมอง
หลอดเลือดโป่งพองในสมองมักเกิดบริเวณที่อ่อนแอในหลอดเลือดสมอง มักไม่เกิดอาการ เว้นแต่หลอดเลือดจะแตกออก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการตกเลือดที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
บุคคลอาจมีอาการปวดหัวจี๊ด ๆ ข้างเดียวแบบฉับพลัน และรุนแรง ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนถูกตีที่ศีรษะอย่างแรง หรือด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
อาการอื่น ๆ ได้แก่:
- การมองเห็นเปลี่ยนไป
- ปวด หรือตึงที่คอ
- คลื่นไส้ และอาเจียน
- ความไวต่อแสง
- ความสับสน
- หมดสติ
- อาการชัก
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก