ไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) คือโรคเรื้อรังที่ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตามกล้ามเนื้อตามตัวร่วมกับความทุกข์ทางด้านจิตใจ
อาการของไฟโบรมัยอัลเจียสามารถสร้างความสับสนกับอาการโรคข้ออักเสบหรือข้อต่อมีการอักเสบได้ แต่อย่างไรก็ตามโรคนี้ต่างจากโรคข้ออักเสบ เพราะไม่ได้พบว่ามีสาเหตุมาจากการอักเสบหรือการเสียหายของข้อต่อหรือกล้ามเนื้อที่พบในโรคข้ออักเสบ แต่ในทางตรงข้ามกันโรคนี้กลับเกิดขึ้นเพราะอาการเจ็บเนื่อเยื่ออ่อนหรือปวดกล้ามเนื้อ
สาเหตุของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
สาเหตุหลักๆของไฟโบรมัยอัลเจียยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าปัญหาอาจเกิดขึ้นพร้อมกับอาการปวดที่มาจากกระบวนการของสมอง ซึ่งอาจทำให้มีการไวต่อความรู้สึกหรือการรับรู้ต่อความรู้สึกปวดเมื่อถูกกระตุ้นมีเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการอย่างกว้างๆคือ:
- ความเครียด การได้รับบาดแผลทางร่างกายหรือจิตใจ เช่นอุบัติเหตุทางรถยนต์
- การได้รับบาดเจ็ยซ้ำๆ
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง
ไฟโบรมัยอัลเจียอาจเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ผู้หญิงที่มีญาติใกล้ชิดเป็นโรคไฟโบรมัยอัลเจียจะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรค
คนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคลูปัส,หรือข้อไขสันหลังอักเสบหรือที่เรียกว่าโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด ก็อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติในการเกิดโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
อาการไฟโบรมัยอัลเจีย
อาการทั่วไปที่พบได้คือ:
- การปวดแบบกระจาย
- ปวดกรามและแข็ง
- ปวดและมีการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อใบหน้าและเนื้อเยื่อเส้นใย
- ข้อและกล้ามเนื้อแข็งในเวลาเช้า
- ปวดศีรษะ
- มีรูปแบบการนอนที่ผิดปกติ
- โรคลำไส้แปรปรวน Irritable Bowel Syndrome
- ปวดประจำเดือน
- รู้สึกเจ็บแปลบและชาที่มือและเท้า
- กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข
- ไวต่อความเย็นหรือความร้อน
- มีปัญหาด้านความทรงจำและสมาธิ ที่รู้จักกันในชื่อภาวะสมองล้า
- อ่อนเพลีย
และอาจมีอาการอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น:
- มีปัญหาการมอง
- คลื่นไส้
- มีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะและกระดูกเชิงกราน
- น้ำหนักเพิ่ม
- มึนงง
- มีอาการคล้ายไข้หวัด
- มีปัญหาด้านผิวหนัง
- มีอาการเกี่ยวกับทรวงอก
- เครียดและมีความวิตกกังวล
- มีปัญหาการหายใจ
อาการสามารถปรากฎขึ้นได้ตลอดเวลาในช่วงชีวิตคน แต่จากรายงานพบว่ามักเกิดขึ้นกับคนอายุราว 45 ปี
การรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย
ไฟโบรมัยอัลเจียเป็นโรคที่ต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษเพราะเป็นโรคที่จัดการยาก เช่นเดียวกับกลุ่มโรคอื่นๆ ผู้ป่วยแต่ละคนต่างก็มีอาการที่อาจแตกต่างกันออกไป การรักษาเฉพาะคนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
การรักษาอาจรวมไปถึงสิ่งต่อไปนี้ เช่น:
- ตั้งโปรแกรมการออกกำลังกาย
- การฝังเข็ม
- การบำบัดทางจิต
- การบำบัดปรับเปลี่ยนด้านพฤติกรรม
- การรักษาแบบไคโรแพรคติก
- การนวด
- กายภาพบำบัด
- ใช้ยาต้านเศร้าปริมาณต่ำ
ผู้ที่มีอาการไฟโบรมัยอัลเจียจำเป็นต้องทำงานร่วมกับแพทย์ด้วยการวางแผนการรักษาเฉพาะคนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การใช้ยา
อาจได้รับคำแนะนำให้มีการใช้ยาเพื่อใช้รักษาอาการเช่น
ด้วยยาบรรเทาอาการปวดที่สามารถหาซื้อไปตามร้านขายยาทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามทาง European League Against Rheumatism (EULAR) ได้สั่งห้ามและไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDs ในการรักษาไฟโบนมัยอัลเจียตั้งแต่ปี 2016
ยาต้านเศร้าเช่น ดูล็อกซีทีน, หรือ Cymbalta และมิลนาซิแพรนหรือ Savella ก็อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ยาต้านอาการชัก เช่น กาบาเพนติน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ นิวรอนตินและ พรีกาบาลิน หรือ Lyrica
แต่อย่างไรก็ตามก็พบว่าอาจมีการแนะนำให้ผู้ป่วยหยุดยาต่างๆเหล่านี้เพราะยาอาจไม่มีประสิทธิภาพต่อการบรรเทาอาการปวดได้หรืออาจเพราะอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่ดีได้
ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัวอื่นๆเพื่อเป็นการหลบเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงร่วมกับยาอื่นๆ
การออกกำลังกาย
การออกกำลังแบบแอโรบิคร่วมกับการฝึกแบบเสริมสร้างความแข็งแรงสามารถช่วยลดอาการปวด, อาการกดเจ็บ, กล้ามเนื้อแข็งและปัญหาการนอนได้ในผู้ป่วยบางราย
หากพบว่าการออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการได้ ควรออกกำลังต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อเห็นผลในระยะยาว การออกกำลังคู่กันกับคู่หรือครูฝึกอาจช่วยให้การออกกำลังเป็นไปตามโปรแกรมได้ดีขึ้น
การฝังเข็ม
ในผู้ป่วยบางรายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้หลังจากบำบัดด้วยการฝังเข็มสำหรับอาการไฟโบรมัยอัลเจีย จำนวนการรักษาขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของผู้ป่วย
จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 5คนที่เป็นไฟโบรมัยอัลเจียเคยการรักษาด้วยการฝังเข็มภายใน 2 ปี บทสรุปจากการวิจัยพบว่าการฝังเข็มสามารถช่วยทำให้อาการกล้ามเนื้อแข็งตัวและอาการปวดดีขึ้น
การบำบัดปรับเปลี่ยนด้านพฤติกรรม
การบำบัดปรับเปลี่ยนด้านพฤติกรรมคือรูปแบบหนึ่งของการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม เป้าหมายเพื่อลดความคิดด้านลบ, ลดความเครียดหรืออาการปวดที่เพิ่มจากพฤติกรรมและสร้างความคิดบวกให้ดีขึ้น รวมไปถึงการเสริมสร้างเรียนรู้ทักษะการจัดการใหม่ๆและการออกกำลังกายแบบผ่อนคลายด้วย
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคอาจต้องใช้เวลานานเพราะอาการของไฟโบรมัยอัลเจียมีความคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่นโรคไฮโปไทรอยด์ อาจต้องมีการจัดโรคบางอย่างออกก่อนเพื่อการวินิจฉัยไฟโบรมัยอัลเจีย
ด้วยความที่ยังไม่มีห้องปฏิการสำหรับการตรวจเช็คอาการของโรคโดยตรงทำให้การวินิจฉัยยิ่งล่าช้าและอาจผิดพลาดได้
The American College of Rheumatology ได้ทำการตั้งเกณฑ์ไว้ 3 เกณฑ์ในการวินิจฉัยไฟโบรมัยอัลเจียดังนี้
- มีอาการปวดและมีอาการเกินสัปดาห์ มีผลต่อร่างกายเกินกว่า 19 ส่วน ร่วมกับระดับของความเหนื่อยล้า, การนอนหลับที่ไม่น่าพึงพอใจหรือมีปัญหาด้านความเข้าใจ
- มีอาการอย่างน้อย 3เดือน
- ไม่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆที่สามารถอธิบายอาการได้
โภชนาการ
มีการแนะนำเรื่องของโภชนาการเพื่อทำให้อาการไฟโบรมัยอัลเจียดีขึ้นได้คือ
- อาหารพลังงานสูงแต่น้ำตาลต่ำ: อาหารจำพวกอัลมอนด์, ถั่วต่างๆ, ข้าวโอ๊ต, อะโวคาโด, และเต้าหู้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์แต่ไม่เติมน้ำตาล สามารถช่วยทำให้อาการเหนื่อยล้าดีขึ้นเนื่องจากโรคได้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเตน: จากการศึกษาเมื่อปี 2014 ได้บอกไว้ว่าคนที่มีความไวต่อกลูเตนสามารถทำให้เกิดไฟโบรมัยอัลเจีย จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการนำเอาอาหารที่มีส่วนประกอบของกลูเตนออกจากอาหารที่รับประทานสามารถลดอาการปวดได้ แม้แต่กับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเซลิแอคก็ตาม การทำตามแผนกการกินสามารถลดการอักเสบได้
- การตัดอาหารประเภทที่ควรหลีกเลี่ยงที่ทำให้ท้องไส้แปรปรวนออก(FODMAP) : จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการกินอาหารในกลุ่ม FODMAP ลดน้อยลงสามารถทำให้ระดับความปวดในผู้ป่วยไฟโบรมัยอัลเจียลดน้อยลงด้วย
- ไม่รับประทานสารเติมแต่งและสารเพิ่มรสชาติ: การตัดสารเติมแต่งออกจากอาหารที่เรารับประทาน เช่นสารแอสปาร์แตมและผงชูรสสามารถลดอาการปวดลงได้ อาการปวดจะกลับมาเป็นมากขึ้นอีกครั้งเมื่อกลับมาทานสารเติมแต่งอีกครั้ง
- รับประทานเมล็ดธัญพืชและถั่วต่างๆ สามารถทำให้อาการไฟโบรมัยอัลเจียดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันดีว่าการรับประทานประเภทสารอาหารรองเข้มข้นและแร่ธาตุมีความสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ และยังอาจช่วยสำหรับคนที่มีอาการได้ด้วย
การรักษาสมดุลย์โภชนาการและรักษาน้ำหนักให้ดีเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพและยังสามารถช่วยทำให้คุณภาพของชีวิตดีขึ้นได้ด้วย
จุดกดเจ็บ
เมื่อทำการศึกษาเรื่องไฟโบรมัยอัลเจีย คุณได้เจอกับคำว่า “จุดกดเจ็บ”
นั่นหมายความถึงบริเวณของร่างกายที่มีอาการไฟโบรมัยอัลเจียที่เป็นสาเหตุของการปวด รวมไปถึงด้านหลังศีรษะ,เข่าด้านใน,และข้อศอกด้านนอก ความปวดอาจเพิ่มขึ้นที่บริเวณคอและหัวไหล่, สะโพกด้านนอกและทรวงอกช่วงบน
แพทย์อาจทำการวินิจฉัยไฟโบรมัยอัลเจียโดยดูจากปฏิกิริยาที่มีต่อแรงกดตามจุดต่างๆที่กล่าวมา แต่อย่างไรก็ตามการไม่เจอก็ไม่ใช่วิธีการที่แม่นยำในการวินิจฉัยโรคและจุกกดเจ็บเองก็ไม่ใช่ตัวที่จะบ่งชี้โรคไฟโบรมัยอัลเจียได้เสมอไป
ไม่แนะนำให้ฉีดยาเข้าบริเวณจุดที่กล่าวไว้ อาการปวดมีรูปแบบการแผ่ขยายในแต่ละคนแตกต่างกันออกไป ในบางบริเวณหรือจุดที่เกิดอาการปวดอาจมีความรุนแรงและเรื้อรังได้
การเฝ้าติดตาม
ไฟโบรมัยอัลเจียยังไม่สามารถรักษาได้ แต่มีทางเลือกในการรักษาและสามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนมากขึ้นได้
อาการสามารถทำให้ดีขึ้นได้ตราบใดที่ผู้ป่วยยังปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด
ข้อควรรู้ของไฟโบรมัยอัยเจีย:
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไฟโบรมัยอัลเจีย คือ.
- ไฟโบรมัยอัลเจียเป็นสาเหตุของอาการปวดแบบแพร่กระจาย, อ่อนล้า, และการไม่สบายตัวรูปแบบต่างๆ
- อาการมีความคล้ายคลึงกับอาการข้ออักเสบ แต่ไฟโบรมัยอัลเจียจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่ออ่อนไม่ใช่ที่ข้อต่อ
- สาเหตุการเกิดอาการยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจมีปัจจัยเสี่ยงมาจากการบาดเจ็บ,โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
- ยังไม่สามารถรักษาได้ แต่การรับประทานยา, การออกกำลังกาย, การฝังเข็มและการบำบัดด้านพฤติกรรมก็สามารถช่วยบรรเทาอาการและทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/fibromyalgia/symptoms-causes/syc-20354780
- https://www.nhs.uk/conditions/fibromyalgia/
- https://www.healthline.com/health/fibromyalgia
- https://www.cdc.gov/arthritis/basics/fibromyalgia.htm
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก