โรคติดเชื้อไวรัสซิก้า (Zika Virus) เป็นโรคที่ยุงเป็นพาหะ โดยอาศัยยุงลายซึ่งเป็นสายพันธ์ุเดียวกับที่แพร่เชื้อไข้เลือดออกและชิคุนกุนยา
ต่างจากยุงที่เป็นพาหะของไข้มาลาเรีย โดยยุงลายจะออกหากินในเวลากลางวันมากที่สุด วิธีการป้องกันเช่นการกางมุ้งเป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากยุงสามารถอยู่รอดได้ทั้งในร่มและกลางแจ้ง
มียุงหลากหลายสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อซิก้าได้ ตัวหลักๆคือ ยุงลาย (Aedes albopictus) หรือยุงลายเสือเอเชีย (Asian tiger mosquito) และยุงลาย (Aedes aegypti) หรือที่เรียกว่ายุงลายไข้เหลือง (the yellow fever mosquito)
ไวรัสซิก้าถูกพบครั้งแรกในลิงที่ประเทศยูกันดาเมื่อค.ศ.1947 แต่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนในแอฟริกา, เอเชีย, หมู่เกาะแปซิฟิกและอเมริกาใต้และอเมริกากลาง
ในปีค.ศ.2016 เกิดการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศบราซิล เป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก
อาการของการติดเชื้อไม่รุนแรง หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ได้
อาการเชื้อไวรัสซิก้า
ไวรัสซิก้าอาการอาจจะไม่แสดงให้เห็น หรืออาการอาจไม่ชัดเจนและไม่รุนแรง อาการจะเป็นได้นานกว่าสัปดาห์
อาการเริ่มแรก ได้แก่:
- มีไข้
- ผื่น
- ปวดข้อ
- เยื่อบุตาอักเสบ หรือตาแดง
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดศีรษะ
- ปวดในลูกตา
- อาเจียน
การติดเชื้อไวรัสซิก้าแทบจะไม่รุนแรงพอที่จะรับประกันการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและยังเป็การติดเชื้อที่หาได้ยากกว่าที่บุคคลจะเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้ซิก้าสามารถทำลายล้างได้ โดยเฉพาะหญิงที่เกิดการติดเชื้อไวรัสขณะตั้งครรภ์
มันอาจทำให้เกิดความบกพร่องกับสมองที่เรียกว่า ไมโครเซฟาลี (Microcephaly) ในเด็กทารกในครรภ์ สมองและศีรษะของทารกแรกเกิดจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ การแท้งบุตรและความพิการแต่กำเนิดอื่นๆก็มีแนวโน้มมากขึ้นเช่นกัน
ในช่วงที่เพิ่งพบการระบาดในประเทศบราซิล พบทารกแรกเกิดที่มีภาวะไมโครเซฟารีเพิ่มขึ้น 10 เท่าภายหลังเดือนตุลาคม ค.ศ.2015 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ยังมีรายงานผู้ที่เป็นกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barré syndrome) หลังจากที่ติดเชื้อไวรัสซิก้า กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรเป็นโรคที่เกิดความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งพบได้น้อย
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
การเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีไวรัสซิก้า เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของไวรัส
ส่วนใหญ่แพร่เชื้อผ่านยุงกัด แต่ยังสามารถส่อต่อผ่านทาง:
- การติดต่อจากแม่สู่ลูกในครรภ์
- ผ่านการมีเพศสัมพันธ์
- อาจเป็นไปได้โดยผ่านทางการถ่ายเลือด
จวบจนปัจจุบันยังไม่มีการแพร่เชื้อไวรัสจากแม่สู่ลูกในระหว่างให้นมบุตร
หลังจากคนมีไวรัสแล้ว พวกเขาจะได้รับการปกป้องจากไวรัสในอนาคต
สถานที่เสี่ยง
หญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด หากเธออาศัยหรือเดินทางไปยังประเทศที่มีเชื้อซิก้าอยู่ ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่บางแห่งในระหว่างตั้งครรภ์
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (The Centers for Disease Control and Prevention :CDC) ออกคำเตือนการเดินทางเกี่ยวกับการแพร่หระจายเชื้อไวรัสซิก้า
เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เขตร้อน:
- อเมริกากลางหรือใต้
- คาริบเบียน
- โอเชียเย็น
- อเมริกาเหนือ
- แอฟริกา
- เอเชีย
นักท่องเที่ยวควรดูข้อมูลอัพเดตจากเว็บไซต์ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
ในสหรัฐอเมริกา กรณีส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการเดินทาง แต่มีบางรายเกิดจากการแพร่กระจายของยุง ซึ่งยุงที่ติดเชื้อซิก้าอาจมีอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มและอุณหภูมิที่ร้อนชื้น
การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัสซิก้า
อาการของโรคไข้ซิก้าคล้ายกับไข้หวัดและอาจไม่รุนแรงจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ได้ไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาล
มีการส่งตรวจอย่างรวดเร็วหลากหลายรายการสำหรับห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค
ซึ่งสามารถยืนยันการติดเชื้อได้
การรักษาการติดเชื้อไวรัสซิก้า
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคไข้ซิก้า
ผู้ที่มีอาการควร:
- พักผ่อน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
- รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคไม่แนะนำให้ใช้แอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบอื่นๆ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAIDs) จนกว่าการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกจะถูกตัดออกในผู้ที่มีความเสี่ยง เนื่องจากความเสี่ยงของการตกเลือด
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังแนะนำว่าควรพิจารณาหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้ซิก้า เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และโปรแกรมกายวิภาคศาสตร์ทุกๆ 3-4 สัปดาห์
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติกรรมและโรคติดเชื้อ
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ซิก้า การหลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเลี่ยงการแพร่เชื้อ
เพื่อเพิ่มการป้องกันขอแนะนำให้ประชาชน:
- ใช้ยาไล่แมลง
- สวมเสื้อผ้าแขนยาวและกางเกงขายาว
- ติดมุ้งกันยุงไว้ที่เตียง (ในบางกรณี)
- ใช้มุ้งลวดหน้าต่างประตู
- หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีน้ำขัง โดยการเทถังหรือเลือกที่จะตั้งแคมป์ให้ห่างจากทะเลสาบหรือสระน้ำ
ยาไล่แมลงควรมีสารหนึ่งในสารเหล่านี้:
- DEET (ความเข้าข้นมากกว่าร้อยละ10)
- picaridin
- IR3535
- น้ำมันยูคาลิปตัสมะนาว
ยาไล่แมลงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทา:
- หลังจากทาครีมกันแดด
- ลงบนเสื้อผ้า เช่นเดียวกับร่างกาย เช่น เสื้อผ้าที่ทาด้วยเพอร์เมทริน
- ใต้เสื้อผ้า
หมั่นตรวจสอบคำแนะนำสำหรับยี่ห้อยาไล่แมลง หรือครีมกันแดดสำหรับคำแนะนำในการใช้งาน
หลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของไวรัส
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสซิก้าควรทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดเป็นเวลา 3 สัปดาห์หลังจากมีอาการ เพราะยุงสามารถส่งผ่านเชื้อไวรัสไปยังคนอื่นได้ ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่กลับมาจากการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงแล้วเป็นโรค
บุคคลนั้นต้องระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันเพราะจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสได้เช่นกัน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างและหลังการเดินทางไปยังภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสซิก้า
ในบางประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกา หน่วยงานด้านสุขภาพแนะนำให้ผู้ชายที่ไปในพื้นที่เสี่ยงแต่ไม่มีอาการ ควรใช้ถุงยางอนามัยนานถึง 6 เดือน หากไม่มีอาการและนานถึง 6 เดือนนับจากที่เริ่มมีอาการ หากคู่กำลังตั้งครรภ์ควรใช้ถุงยางอนามัยตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์
ผู้ที่เคยเป็นโรคไข้ซิก้าจะได้รับการป้องกันตามปกติ และไม่น่าจะเป็นอีก
หลังจากเชื้อไวรัสออกจากร่างกาย ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการที่ลูกจะเกิดมาพร้อมกับภาวะไมโครเซฟาลี
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคไข้ซิก้า
- ไวรัสซิก้ามักเกิดในสภาพอากาศเขตร้อน
- การติดเชื้อในประเทศสหรัฐอเมริกาเชื่อมโยงกับการเดินทางเข้า-ออกจากพื้นที่เขตร้อน
- อาการของการติดเชื้อไวรัสซิก้าอาจเป็นนานถึง 1 สัปดาห์ แต่ผลกระทบต่อเด็กทารกในครรภ์อาจรุนแรง
- ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาไวรัส
- การหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันโรคไข้ซิก้า
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.cdc.gov/zika/symptoms/index.html
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/zika-virus/symptoms-causes/syc-20353639
- https://www.medicalnewstoday.com/articles/305163
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก