อาการหูตึง (Deafness) คือความบกพร่องทางการได้ยิน หูหนวกหรือสูญเสียการได้ยิน คืออาการที่หูไม่สามารถได้ยินเสียงทั้งหมดหรือได้ยินเพียงบางส่วน
อาการมีตั้งแต่เล็กน้อย ปานกลาง หรือรุนแรง แต่แม้ว่าความบกพร่องทางการได้ยินจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อปัญหาการทำความเข้าใจในการพูดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีเสียงรบกวนรอบข้าง ส่วนผู้ที่มีปัญหาทางการได้ยินระดับปานกลางอาจต้องใช้เครื่องช่วยฟัง
กรณีผู้ปัญหาทางการได้ยินขั้นรุนแรง อาจต้องพึ่งพาการอ่านริมฝีปากเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น คนที่หูหนวกถาวรที่ไม่สามารถได้ยินอะไรเลย ต้องอาศับการอ่านริมฝีปากหรือภาษามือเท่านั้น
สาเหตุของอาการหูตึง
โรคหรือพฤติกรรมบางอย่างอาจส่งผลให้เกิดอาการหูตึง ได้แก่ :
- โรคอีสุกอีใส
- โรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส
- โรคคางทูม
- โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (Sickle Cell Disease)
- โรคซิฟิลิส
- โรคลายม์ (Lyme Disease)
- โรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะสูญเสียการได้ยินบางประเภท
- การรักษาวัณโรค (TB) ด้วยยาสเตรปโตมัยซินซึ่งเชื่อว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
- โรคข้ออักเสบ
- มะเร็งบางชนิด
- วัยรุ่นผู้สัมผัสควันบุหรี่จากผู้อื่น
หูชั้นในเป็นที่ตั้งของกระดูกที่บอบบางที่สุดของร่างกาย ดังนั้นความเสียหายที่เกิดที่แก้วหูหรือหูชั้นกลางจึงทำให้สูญเสียการได้ยินและหูตึงได้
อาการหูตึง
ความแตกต่างระหว่างการสูญเสียการได้ยินกับอาการหูตึง
ปัจจัยในการแยกแยะการสูญเสียการได้ยินกับอาการหูตึง
การสูญเสียการได้ยิน: ความสามารถในการได้ยินเสียงลดน้อยกว่าคนปกติ
อาการหูตึง: บุคคลไม่สามารถเข้าใจคำพูดผ่านการได้ยินแม้ว่าจะขยายเสียงแล้วก็ตาม
หูตึงอย่างรุนแรง: หมายถึงการไม่ได้ยินใด ๆ เลย บุคคลที่มีอาการหูตึงรุนแรงจะไม่สามารถได้ยินเสียงใด ๆ เลย
ความรุนแรงของความบกพร่องทางการได้ยินแบ่งตามระดับความดังของเสียงที่ได้ยิน จึงจะสามารถเลือกเครื่องรับเสียงที่เหมาะสมได้
การวินิจฉัยอาการหูตึง และหูตึงถาวร ต้องอาศัยการวินิจฉัยโรคหูหนวกอย่างละเอียด ตรวจสอบระดับเสียงที่ได้ยิน
การรับเสียงทำงานอย่างไร
คลื่นเสียงเข้าสู่หูผ่านไปตามรูหูหรือช่องหู แล้วไปกระทบกับแก้วหูทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน แรงสั่นสะเทือนจากแก้วหูจะถูกส่งไปยังกระดูกสามชิ้นที่เรียกว่า ossicles ที่อยู่ในหูชั้นกลาง
กระดูกเหล่านี้จะขยายคลื่นเสียงแล้วส่งแรงสั่นสะเทือนต่อไปยังเซลล์ที่มีลักษณะคล้ายขนขนาดเล็ก ๆ ในหูชั้นในรูปหอยโข่ง
สมองจะแปลงรูปแบบการเคลื่อนไหวเหล่านี้ที่ถูกส่งผ่านประสาทหูไปยังสมอง เพื่อประมวลผลข้อมูลเป็นเสียง
ประเภทของการสูญเสียการได้ยินมี 3 ประเภท ได้แก่:
1) การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากสื่อประสาทไฟฟ้า
การสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงไม่ได้ถูกส่งผ่านจากหูชั้นนอกไปยังหูชั้นในโดยเฉพาะหูชั้นในรูปหอยโข่ง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ :
- การสะสมของขี้หูมากเกินไป
- หูชั้นกลางอักเสบ
- หูติดเชื้อ อักเสบและเกิดของเหลวสะสม
- เยื่อแก้วหูทะลุ
- ความผิดปกติของกระดูก ossicles
- แก้วหูทะลุ
การติดเชื้อในหูสามารถทำให้เนื้อเยื่อเกิดบาดแผล ซึ่งลดประสิทธิภาพการทำงานของแก้วหู กระดูกอาจมีความบกพร่องเนื่องมาจากการติดเชื้อ การบาดเจ็บ หรืออาการที่กระดูกติดรวมกัน เรียกอาการนี้ว่ากระดูกหลอมรวมกัน
2) การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากโรคหูตึงเฉียบพลัน
การสูญเสียการได้ยินเกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน ประสาทหู ประสาทหูหรือสมองเสียหาย
การสูญเสียการได้ยินประเภทนี้เกิดจากเซลล์รูปขนในหูชั้นในรูปหอยโข่งเสียหาย เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ขนจะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ความสามารถในการได้ยินจึงเสื่อมลง
การได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะเสียงที่มีความถี่สูงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ขนเสียหาย เซลล์ขนที่เสียหายไม่สามารถแก้ไขได้ มีความพยายามศึกษาเพื่อหาทางสร้างเซลล์ขนใหม่ทดแทน
การหูตึงแบบเฉียบพลันยังเกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ อย่างการติดเชื้อในหูชั้นใน หรือได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
3) การสูญเสียการได้ยินจากหลายอาการผสมกัน
เป็นอาการสูญเสียการได้ยินที่เกิดความผิดปกติในการรับสื่อกระแสไฟฟ้าและอาการแบบเฉียบพลัน อาจเกิดขากการติดเชื้อในหูแบบเนื้อรังซึ่งสามารถทำลายแก้วหู และกระดูก 3 ชิ้นได้ บางครั้งการรักษาด้วยการผ่าตัดอาจทำให้การได้ยินกลับคืนมาได้ แต่ก็อาจไม่ได้ผลดีเสมอไป
อาการความบกพร่องทางการได้ยินขึ้นกับสาเหตุต่าง ๆ บางคนเกิดมาก็ไม่สามารถได้ยินเสียงใด ๆ บางคนเกิดอาการหูตึงเนื่องมาจากอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย แต่ส่วนมากอาการหูตึงจะค่อยๆเกิดขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
ภาวะบางอย่างอาจทำให้สูญเสียการได้ยิน เช่นหูอื้อ หรือโรคหลอดเลือดสมอง
ความบกพร่องทางการได้ยินในทารก
สัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาการได้ยิน ได้แก่:
- ก่อนอายุ 4 เดือนทารกไม่หันศีรษะไปทางที่เกิดเสียงดัง
- อายุ 12 เดือนทารกยังไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
- เด็กทารกไม่สะดุ้งตื่นเวลาเสียงดัง
- ทารกตอบสนองเมื่อมองเห็นเท่านั้น แต่ตอบสนองน้อยหรือไม่ตอบสนองเลยหากมองไม่เห็น หรือได้ยินแต่เสียงเรียก
- ทารกมีอาการรับรู้เสียงบางอย่างเท่านั้น
ความบกพร่องทางการได้ยินในเด็กเล็ก
สัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาการได้ยิน ได้แก่:
- เด็กสื่อสารกับเด็กคนอื่น ๆ ด้วยการอ่านปาก
- เด็กพูดว่า“ อะไรนะ” หรือ “ขอโทษนะ” บ่อย ๆ
- เด็กพูดเสียงดัง หรือมีแนวโน้มที่จะส่งเสียงดังกว่าปกติ
- เวลาพูดคำพูดของพวกเขาจะค่อยไม่ชัดเจน
ระดับของอาการหูตึง
อาการหูตึงเล็กน้อย หรือบกพร่องทางการได้ยินเล็กน้อย: บุคคลสามารถรับรู้เสียงที่ความดัง 25 ถึง 29 เดซิเบล (dB) เท่านั้น พวกเขาอาจมีอุปสรรตในการเข้าใจคำของผู้อื่น ยิ่งในกรณีที่มีเสียงรบกวน
อาการหูตึงปานกลาง หรือบกพร่องทางการได้ยินปานกลาง: บุคคลสามารถรับรู้เสียงที่ความดัง 40 ถึง 69 dB เท่านั้น ต้องอาศัยเครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการสนทนากับผู้อื่น
อาการหูตึงรุนแรง: บุคคลสามารถรับรู้เสียงที่ความดังมากกว่า 70 ถึง 89 เดซิเบล คนหูตึงรุนแรงต้องอ่านริมฝีปาก หรือใช้ภาษามือในการสื่อสาร ร่วมกับการใช้เครื่องช่วยฟัง
อาการหูตึงถาวร: ผู้ที่ไม่สามารถได้ยินเสียงที่ต่ำกว่า 90 dB ได้ยังถือเป็นอาการหูตึง หากหูหนวกจะไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ได้เลย การสื่อสารต้องใช้ภาษามือ การอ่านริมฝีปาก การอ่านหรือการเขียน
การรักษาอาการหูตึง
การช่วยให้ผู้ที่สูญเสียการได้ยินรับฟังเสียงได้ดีขึ้น แต่แนวทางการรักษาก็ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของอาการหูตึงด้วย
การสูญเสียการได้ยินแบบเฉียบพลันไม่สามารถรักษาให้หายขาด เมื่อเซลล์ขนในกระดูกหูชั้นในรูปก้นหอบเสียหายจะไม่สามารถซ่อมแซมได้ แต่การรักษาและอุปกรณ์เสริมจะช่วยปรับปรุงคุณภาพการได้ยิน
เครื่องช่วยฟัง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อช่วยการได้ยิน
เครื่องช่วยฟังมีหลายประเภท หลายขนาดตามรูปแบบและระดับของเสียง เครื่องช่วยฟังไม่ได้ช่วยรักษาอาการหูตึง แต่ช่วยขยายเสียงให้ผู้ฟังได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น
เครื่องช่วยฟังประกอบด้วยแบตเตอรี่ ลำโพงขยายเสียง และไมโครโฟน ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ปลอดภัยและสามารถใส่เอาไว้ในหูได้ หากเป็นรุ่นที่ทันสมัยจะสามารถแยกแยะเสียงระหว่างเสียงพื้นหลัง และเสียงเบื้องหน้าได้ อย่างเสียงพูด และเสียงในสภาพแวดล้อม
เครื่องช่วยฟังไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการหูตึงรุนแรง
การนำมาใช้งานต้องอาศัยการสังเกตด้วยว่าผู้ใช้กับอุปกรณ์มีความเข้ากันได้ดี อาจต้องปรับแต่งให้เกิดความเหมาะกับผู้ใช้งานแต่ละคน
ประสาทหูเทียม กรณีแก้วหูและหูชั้นกลางทำงานไม่มีประสิทธิภพา แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยประสาทหูเทียม
เป็นการนำอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีลักษณะบางใส่เข้าไปในหูชั้นในรูปก้นหอย จากนั้นใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นการได้ยินของหู
การใช้ประสาทหูเทียมเหมาะกับผู้ป่วยหูตึงที่มีสาเหตุจากความเสียหายของเซลล์ขนในหูชั้นในรูปก้นหอย การใส่อุปกรณ์จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการพูด ช่วยให้ผู้ป่วยเพลิดเพลินกับเสียงเพลง เกิดความเข้าใจเสียงพูดได้ดีขึ้น แม้จะมีเสียงรบกวนบ้างก็ตาม
กรณีผู้ป่วยเป็นเด็กมักใช้ประสาทหูเทียมในหูทั้งสองข้าง แต่กรณีของผู้ใหญ่มักใช้แค่ข้างเดียว
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hearing-loss/symptoms-causes/syc-20373072
- https://www.who.int/pbd/deafness/facts/en/
- https://www.nhs.uk/conditions/hearing-loss/
- https://www.ndcs.org.uk/information-and-support/childhood-deafness/what-is-deafness/
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก