

อาการบวมน้ำ (Edema) เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อในร่างกายโดยเฉพาะผิวหนังเกิดอาการคั่งของเหลว
สาเหตุและประเภทของภาวะบวมน้ำนั้นแตกต่างกันออกไป เช่น ภาวะน้ำท่วมปอดหรือภาวะปอดบวมน้ำจะส่งผลต่อปอด ในขณะที่ภาวะเท้าบวมก็จะส่งผลที่เท้า
ภาวะบวมน้ำมักเกิดขึ้นช้า ๆ แต่สามารถเกิดขึ้นเฉียบพลันก็ได้เช่นกัน ภาวะบวมน้ำพบได้บ่อยซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะและโรคร้ายแรงอีกด้วย
ภาวะบวมน้ำคืออะไร
ภาวะบวมน้ำหรือภาวะที่ร่างกายคั่งน้ำทำให้เกิดอาการบวมตามอวัยวะที่มีของเหลวคั่งอยู่ ภาวะบวมน้ำจึงหมายถึงอาการบวมน้ำอันเกิดจากอวัยวะนั้นมีน้ำอยู่มาก
อวัยวะส่วนใหญ่ที่เกิดภาวะบวมน้ำจะได้แก่ ผิวหนัง โดยเฉพาะ บริเวณมือ แขน ข้อเท้า ขา และเท้า อย่างไรก็ตาม ภาวะบวมน้ำสามารถเกิดกับกล้ามเนื้อ ลำไส้ ปอด ตา และสมองได้เช่นกัน
ภาวะนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์ แต่ภาวะบวมน้ำก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน
อาการของภาวะบวมน้ำ
อาการของภาวะบวมน้ำขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ แต่ที่พบบ่อยคือจะมีอาการบวม ตึง และปวด
ผู้ป่วยที่มีภาวะบวมน้ำสามารถสังเกตเห็นได้ คือ:
-
ผิวหนังบวมเป่ง
-
ผิวหนังมีรอยบุ๋มหลังจากถูกกดเป็นเวลา 2-3 วินาที
-
มีอาการบวมที่ข้อเท้า ใบหน้า หรือดวงตา
-
ปวดเมื่อยตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และข้อต่อแข็ง
-
น้ำหนักลดหรือเพิ่ม
-
เส้นเลือดที่มือและคอดูเต็มขึ้น
-
อัตราชีพจรและความดันโลหิตสูงขึ้น
-
มีอาการปวดศีรษะ
-
มีอาการปวดท้อง
-
พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนไป
-
มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
-
รู้สึกสับสนและรู้สึกง่วงซึมบ่อย ๆ
-
มีสายตาผิดปกติ
อาการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคประเภทของภาวะบวมน้ำและตำแหน่งของภาวะบวมน้ำ
การรักษาภาวะบวมน้ำ
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของภาวะบวมน้ำ
ยาขับปัสสาวะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้รักษาภาวะบวมน้ำได้โดยยาขับปัสสาวะจะช่วยกำจัดของเหลวส่วนเกินโดยกระตุ้นให้ไตขับน้ำปัสสาวะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ แพทย์ยังแนะนำการรักษาจำเพาะหากมีอาการต่าง ๆ เช่น อาการตามัว(Blurred vision) เกิดจากการบวมบริเวณจุดภาพชัด น้ำท่วมปอดและภาวะบวมน้ำประเภทอื่น ๆ
การรักษาทางเลือกและการปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตประจำวัน
ถุงน่องทางการแพทย์ช่วยลดอาการบวมและอาการเจ็บปวดจากภาวะบวมน้ำได้
เทคนิคการดูแลตนเองบางอย่างช่วยป้องกันหรือลดภาวะบวมน้ำได้เช่นกัน
เช่น:
-
ลดการบริโภคเกลือ
-
ลดน้ำหนักตามความเหมาะสม
-
ออกกำลังกายเป็นประจำ
-
ยกขาขึ้นเมื่อจำเป็น เพื่อให้การไหลเวียนของของเหลวในร่างกายดีขึ้น
-
สวมถุงน่องพิเศษ ที่หาซื้อได้ทางออนไลน์
-
ไม่นั่งหรือยืนนิ่ง ๆ นานเกินไป
-
ลุกเดินและเปลี่ยนอิริยาบถเมื่อนั่งยานพาหนะที่ต้องเดินทางไกล ๆ
-
หลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่สูงเกินไป เช่น การอาบน้ำร้อนและซาวน่าร้อน ๆ
-
ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น
-
หมอนวดหรือนักกายภาพบำบัดช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายได้ โดยการรีดน้ำตามอวัยวะต่าง ๆ ไปในทิศทางที่หัวใจอยู่
การใช้ออกซิเจนสามารถรักษาภาวะบวมน้ำบางชนิด เช่น ผู้ที่มีโรคหัวใจ ภาวะน้ำเกินหรือน้ำค้างอยู่ในร่างกายมากเกินไปเนื่องจากมีภาวะไตวายร่วมด้วยต้องให้ออกซิเจนเพิ่มเพราะผู้ป่วยประเภทนี้มีปัญหาในรับออกซิเจนให้เพียงพอ
ออกซิเจนที่ส่งผ่านทางจมูกช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น ซึ่งการมองเห็นที่ไม่ดีเกิดจากภาวะจุดรับภาพบวมที่เป็นสาเหตุมาจากเบาหวานขึ้นตา
อย่างไรก็ตาม การบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง (HBOT) พบว่าช่วยเพิ่มความเสี่ยงของอาการบวมน้ำในปอดได้
ประเภทต่าง ๆ ของภาวะบวมน้ำ
ภาวะบวมน้ำมีด้วยกันหลายประเภท โดยแต่ละประเภทสามารถบอกได้ว่า ผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพใดบ้าง โดยภาวะบวมน้ำแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
ภาวะบวมน้ำส่วนปลาย: ซึ่งเกิดขึ้นได้กับข้อเท้า ขา มือและแขน อาการแสดงต่าง ๆ ได้แก่ มีอาการบวมน้ำ อาการบวมช้ำและเคลื่อนไหวส่วนที่บวมน้ำได้ลำบาก
ภาวะน้ำท่วมปอด: เป็นภาวะที่ของเหลวส่วนเกินคั่งในปอด จึงทำให้หายใจลำบาก เป็นผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือการบาดเจ็บที่ปอดเฉียบพลันตามมา ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง และต้องได้รับการดูแลจากการแพทย์ฉุกเฉิน และทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
ภาวะบวมน้ำในสมอง: ภาวะนี้จะเกิดขึ้นในสมอง ซึ่งสาเหตุก็มีด้วยกันหลายอย่าง และหลายสาเหตุเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการต่าง ๆ ของผู้ที่มีภาวะบวมน้ำในสมอง ได้แก่ ปวดศีรษะ ปวดคอหรือตึงคอ สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดหรือบางส่วน การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกตัวหรือสภาพจิตใจ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและเวียนศีรษะ
ภาวะตามัวเกิดจากการบวมบริเวณจุดภาพชัด: ภาวะนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอันเกิดจากเบาหวานขึ้นตา อาการบวมเกิดขึ้นที่จุดเห็นชัดบริเวณจอตา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดวงตาที่ช่วยให้สามารถมองเห็นส่วนกลางได้อย่างละเอียด ผู้ที่มีภาวะนี้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้โดยเฉพาะการมองภาพตรงกลางและวิธีการมองเห็นสีของตัวเอง
ภาวะบวมน้ำสามารถเกิดขึ้นในตำแหน่งอื่น ๆ ได้เช่นกัน แต่อาการที่กล่าวถึงข้างต้นพบได้บ่อยที่สุด โดยอาการต่าง ๆ สามารถบอกถึงโรคร้ายแรงได้หลายอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ หากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอาการบวมในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
สาเหตุของภาวะบวมน้ำ
ภาวะบวมน้ำเป็นผลมาจากปัญหาการไหลเวียนโลหิต การติดเชื้อ การตายของเนื้อเยื่อ การขาดสารอาหาร โรคไต การมีของเหลวในร่างกายมากเกินไป และปัญหาเรื่องอิเล็กโทรไลต์หรือเกลือแร่ในร่างกาย
ภาวะบวมน้ำเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่:
ภาวะหัวใจวาย
หากห้องล่างหนึ่งห้องหรือทั้งสองห้องของหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ตามปกติ เลือดจะสะสมที่แขนขาทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
โรคไตหรือไตถูกทำลาย
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตไม่สามารถกำจัดของเหลวและโซเดียมออกจากเลือดได้เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดแรงดันสูงกระทบหลอดเลือด จนทำให้ของเหลวบางส่วนรั่วไหลออกมา โดยอาการบวมช้ำเกิดขึ้นได้บริเวณขาและดวงตา
ความเสียหายต่อโกลเมอรูลัส ต่อเส้นเลือดฝอยในไตที่กรองของเสียและของเหลวส่วนเกินออกจากเลือดส่งผลให้เกิดโรคไตเนโฟรติก ซึ่งอาการอย่างหนึ่งของภาวะนี้คือการมีระดับโปรตีนอัลบูมินในเลือดต่ำ และทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โรคตับ
โรคตับแข็งมีผลต่อการทำงานของตับและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการหลั่งฮอร์โมน และสารเคมีควบคุมของเหลว และลดการผลิตโปรตีน ซึ่งทำให้ของเหลวรั่วออกจากหลอดเลือดไปสู่เนื้อเยื่อรอบ ๆ
โรคตับแข็งยังเพิ่มความดันภายในหลอดเลือดดำพอร์ทัล ซึ่งเป็นหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ที่นำเลือดจากลำไส้ ม้าม และตับอ่อนเข้าสู่ตับ ภาวะบวมน้ำเกิดที่ขาและช่องท้องได้
การใช้ยาเพื่อการรักษาโรคบางชนิด
ยาบางชนิดเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะบวมน้ำ:
- ยาขยายหลอดเลือดหรือยาที่เปิดหลอดเลือด
- ยาต้านแคลเซียม
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- เอสโตรเจน
- ยาเคมีบำบัดบางชนิด
- ยาเบาหวานบางชนิด เช่น กลุ่มยาลดระดับน้ำตาลบางชนิด

การตั้งครรภ์
ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่กระตุ้นให้มีการกักเก็บของเหลว และคุณแม่ตั้งครรภ์มักจะกักเก็บโซเดียมและน้ำไว้มากกว่าปกติ ใบหน้า มือ แขน ขา ท่อนล่างและเท้าบวมได้
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์นอนอยู่ในท่าเอียงในระหว่างตั้งครรภ์ มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นจะกดทับเส้นเลือดที่เรียกว่า อินฟีเรีย เวนา คาวา ซึ่งไปขัดขวางเส้นเลือดต้นขา และทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
ในระหว่างตั้งครรภ์ จะเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของภาวะบวมน้ำได้
นอกจากนี้ ภาวะที่มีการชัก ซึ่งเป็นผลมาจากความดันโลหิตสูงที่เกิดจากการตั้งครรภ์หรือความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
ปัจจัยด้านอาหาร
ปัจจัยด้านอาหารหลายอย่างส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดภาวะบวมน้ำ เช่น:
-
ผู้ที่มีภาวะบวมน้ำบริโภคเกลือมากเกินไป
-
การขาดสารอาหาร ซึ่งภาวะบวมน้ำเป็นผลมาจากระดับโปรตีนในเลือดต่ำ
-
การรับประทานวิตามินบี 1 บี 6 และบี 5 ในปริมาณต่ำ
-
โรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ได้แก่ :
-
โรคหัวใจและหลอดเลือด
-
ไตวายเฉียบพลัน
-
ตับวายเฉียบพลัน
-
โรคลำไส้ที่ทำให้สูญเสียโปรตีน
ปัจจัยเหล่านี้ และการรักษาด้วยยาบางชนิด เช่น รักษาโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
ภาวะจุดภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวานขึ้นจอตาเป็นภาวะบวมน้ำในจอประสาทตาอันเป็นผลมาจากจากโรคเบาหวาน
ภาวะหรือโรคต่าง ๆ ที่มีผลต่อสมอง
สาเหตุของภาวะบวมน้ำในสมอง ได้แก่ :
การบาดเจ็บที่ศีรษะ: การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะทำให้เกิดของเหลวสะสมในสมองได้
โรคหลอดเลือดสมอง: โรคหลอดเลือดสมองทำให้สมองบวมได้
เนื้องอกในสมอง: เนื้องอกในสมองจะสะสมน้ำไว้รอบ ๆ ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสร้างหลอดเลือดใหม่
โรคภูมิแพ้
อาหารบางชนิดและแมลงสัตว์กัดต่อยทำให้เกิดภาวะบวมน้ำที่ใบหน้าหรือผิวหนังในผู้ที่แพ้หรือแพ้ง่ายได้ อาการบวมอย่างรุนแรงเป็นสัญญาณของการเกิดภูมิแพ้ อาการบวมในลำคอจะไปปิดทางเดินหายใจ จนทำให้หายใจไม่ได้ ซึ่งภาวะบวมน้ำในลำคอจะเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน
ภาวะบวมน้ำในแขนขา
เลือดจับตัวเป็นก้อน: ทำให้เกิดการอุดตันต่าง ๆ เช่น เกิดก้อนในหลอดเลือดดำโดยไปปิดกั้นไม่ให้เลือดไหลได้ เมื่อความดันเพิ่มขึ้นในหลอดเลือดดำ ของเหลวจะเริ่มรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำได้
เส้นเลือดขอด: เส้นเลือดขอดมักเกิดขึ้นเนื่องจากลิ้นตามเส้นเลือดไม่ทำงาน จนทำให้เกิดความดันเพิ่มขึ้นในเส้นเลือดและเริ่มจับตัวเป็นก้อน นอกจากนี้ ความดันโลหิตยังเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดของเหลวรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อโดยรอบ
ถุงน้ำ ก้อนเนื้อ หรือเนื้องอก: ถุงน้ำ ก้อนเนื้อ หรือเนื้องอกซึ่งทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้ หากกดทับท่อน้ำเหลืองหรือหลอดเลือดดำ เมื่อเกิดความดันสะสมมากขึ้น ของเหลวรั่วไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อโดยรอบได้
ภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema): โดยปกติแล้ว ระบบน้ำเหลืองช่วยขจัดของเหลวส่วนเกินออกจากเนื้อเยื่อ โดยทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนี้ เช่น การผ่าตัด การติดเชื้อ หรือเนื้องอก และทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โรคประจำตัวและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ
การไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบถเมื่ออยู่ท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน: ผู้ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนอิริยาบถเมื่ออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานานทำให้เกิดภาวะบวมน้ำที่ผิวหนังได้ โดยเกิดจากการรวมตัวของของเหลวในบริเวณอวัยวะที่ปล่อยตามแรงโน้มถ่วง และการปล่อยฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกจากต่อมใต้สมอง
อยู่ในที่สูง: การอาศัยอยู่ในที่สูงและการออกแรงหนัก ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ อาการเมาที่สูงเวลาขึ้นภูเขาที่เกิดเฉียบพลันทำให้เกิดอาการบวมน้ำที่ปอดในระดับความสูงหรือทำให้เกิดภาวะสมองบวมน้ำอันเนื่องมาจากการอยู่ที่สูงได้
เกิดแผลไฟไหม้และถูกแดดเผา: โดยปกติแล้ว ผิวหนังตอบสนองต่อการเผาไหม้โดยการกักเก็บของเหลวไว้ จึงทำให้เกิดอาการบวมเฉพาะที่
การติดเชื้อหรือการอักเสบ: เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบเกิดอาการบวมช้ำได้ โดยปกติแล้ว อาการนี้จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดบนผิวหนัง
การมีประจำเดือนและก่อนมีประจำเดือน: ระดับฮอร์โมนมีความผันผวนระหว่างรอบเดือน ในช่วงหลายวันก่อนมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลง และทำให้เกิดการคั่งของของเหลวได้
ยาเม็ดคุมกำเนิด: ยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดการคั่งของของเหลวได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดเป็นครั้งแรก
วัยหมดประจำเดือน: ในช่วงวัยหมดประจำเดือน ความผันผวนของฮอร์โมนทำให้เกิดการคั่งของของเหลว การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT) ที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
โรคต่อมไทรอยด์: ความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่เชื่อมโยงกับโรคต่อมไทรอยด์และทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะบวมน้ำที่ไม่ได้รับการรักษาสามารถทำให้เกิด:
-
ปวดบวม ด้วยอาการปวดที่ทำให้อาการแย่ลง
-
เกิดอาการข้อต่อติดและฝืดและเดินลำบาก
-
ผิวแตกลายและคัน
-
เกิดการติดเชื้อในบริเวณที่บวม
-
เกิดรอยแผลเป็นระหว่างชั้นของเนื้อเยื่อ
-
การหมุนเวียนเลือดไม่ดี
-
การสูญเสียความยืดหยุ่นในหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และข้อต่อ
-
เกิดแผลบนผิวหนัง
-
เกิดโรคหรืออาการต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น
นี่คือที่มาในแหล่งบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/edema/symptoms-causes/syc-20366493
-
https://www.webmd.com/heart-disease/heart-failure/edema-overview
ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญในด้านสมุนไพรไทยเป็นพิเศษ โดยปัจจุบันเป็นผู้เขียนหลักของ Club of Thai Health มีงานอดิเรก คือการปลูกสมุนไพรไทย และเพาะพันธุ์พืชหายาก